ขืนไปออกกฎหมายอย่างนั้นก็จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะการค้ำประกันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ใครอยากค้ำประกันใครก็ย่อมทำได้ไม่มีใครบังคับใครได้ การที่อ้างว่าเป็นการให้ต้องรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อนั้น คงเป็นความเข้าใจผิด เพราะที่เขาให้รับผิดก็เพราะเกิดจากสิ่งที่คนค้ำประกันไปก่อไว้ต่างหาก เจ้าหนี้เขาจะให้ลูกหนี้กู้เงินหรือซื้อของ หากแต่เขาไม่ไว้ใจว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ได้ครบถ้วน เขาจึงเรียกร้องให้หาคนค้ำประกันมา ถ้าไม่มีคนค้ำประกันเขาก็ไม่ให้กู้หรือขายของให้ คนค้ำประกันเกิดใจดีหรือกลัวเสียหน้า ก็เลยไปค้ำประกันเขาไว้ หนี้นั้นจึงเกิดขึ้นได้ เพราะคนค้ำประกันไปก่อให้เกิดขึ้น ถึงเวลาจะปฏิเสธไม่ชำระหนี้เขาได้อย่างไร เหตุที่คนส่วนใหญ่เที่ยวได้ไปค้ำประกันเขาน่ะ เป็นเพราะขาดความรับรู้ในผลที่จะเกิดขึ้น นึกเอาเองว่าค้ำ ๆ ไปอย่างนั้นเอง บางคนก็คิดเอาเองว่าลูกหนี้คงจะไม่เบี้ยวเขา บางคนก็นึกว่าถ้าไม่ค้ำเขาจะหาว่าเราไม่แน่ บางคนก็นึกเอาว่าถึงเวลามาเรียกให้เราชำระหนี้ เราไม่ชำระเสียอย่างใครจะทำอะไรได้ ล้วนแต่เป็นการคิดเอาง่าย ๆ ทั้งสิ้น โดยไม่ได้สำเหนียกเอาบ้างเลยว่าถ้ามันง่าย ๆ อย่างนั้น เขาจะให้ค้ำประกันกันไปทำไม บางคนก็นึกว่าเราไม่มีทรัพย์สินอะไรเสียอย่าง อยากฟ้องก็ฟ้องไป เวลาถูกฟ้องก็เลยไม่ไปศาล มารู้อีกทีเขาก็มายึดบ้านหรือทรัพย์สิน หรือฟ้องล้มละลายเอาเสียแล้ว คอลัมน์นี้พยายามบอกเล่าเก้าสิบถึงอันตรายของการค้ำประกันมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง เพื่อจะเตือนสติกันว่าอย่าได้เกรงใจใครในเรื่องการค้ำประกัน บางคนกลัวจะเสียเพื่อนจึงไม่กล้าปฏิเสธ แท้ที่จริงแล้วทันทีที่ลงชื่อค้ำประกันให้เขาน่ะ ก็เสียเพื่อนคนนั้นไปแล้ว แต่เป็นการเสียเพื่อนด้วยและต้องรับผิดในหนี้ด้วย ดังนั้น จึงควรยอมเสียเพื่อนโดยไม่ต้องรับผิดในหนี้ (คือปฏิเสธไม่ยอมค้ำประกันให้ใคร) จะไม่ดีกว่าหรือ เวลาใครมาขอให้ค้ำประกันและไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ก็ลองบอกเขาดูว่า ได้รับปากกับพ่อแม่ หรือภรรยาหรือสามีไว้ว่าจะไม่ยอมค้ำประกันให้ใคร