เรียนอาจารย์มีชัยครับ

 ผมเคยกู้ร่วม  เป็นบุคคลที่2 (กู้ซื้อบ้าน) ธนาคารเริ่มยึดทรัพย์เมื่อปี 41 วงเงินกู้ประมาณ 700,000บาท ช่วงนั้นขายทอดตลาดยังไม่ได้ เค้าคิดดอกเบี้ย 18% ขายได้ปี 43 ได้ราคา 600,000บาท  ตอนนั้นหนี้ขึ้นเป็น  1 ล้าน กว่า  (ลบด้วย 600,000บาท(ที่ขายทอดตลาดได้))สรุปว่าปี 43 ผมเป็นหนี้ 4 แสนกว่า  ผมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย  เพราะเป็นผู้กู้รวม และผู้กู้หลักลม้ละลาย(จากหนี้อื่นของเค้าด้วย)  จนปัจจุบันเป็นเวลา 9 ปี  ธนาคารติดต่อมาว่าหนี้ผมเพิ่มเป็น1 ล้านกว่า และหลังจากนั้นมีเอกสารจากกองอายัด อายัดเงินเดือน 30 %

ผมอยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

   1  ปัจจุบันขอสู้คดีได้อีกหรือเปล่าเพราะผมไม่ได้รับรู้อะไร ผู้กู้หลักเก็บเรื่องไว้หมด

   2  หลังจากปี 43 ธนาคาร มีสิทธิ์เก็บดอกเบี้ย 18 % ต่อปีจนถึงปัจจุบันหรือเปล่า( ผมคิดว่าไม่ยุติธรรม ในเมื่อดอกเบี้ยเงินกู้ช่วงนั้น 1-5% ต่อปี)

   3 อายุความผมหมดในอีก1 ปีหรือเปล่า(ครบ10 ปี)  และหลังจาก 10 ปีผมจะถูกอายัดเงินเดือนต่อหรือเปล่า

   4 หลังจากหมดอายุความ 10 ปี สมมุติว่าถูกไล่ออก สมบัติอื่นที่ผมมีจะถูกยึดหรือเปล่า

   5 ถ้าผมมีเงินก้อนในอนาคตผมจะใช้หนี้ให้หมด กรณีนี้ อาจารย์คำนวนว่าผมจะจ่ายเป็นก้อนเท่าไหร่  ผมอยากรู้ราคากลางครับ กลัวว่าถูกเอาเปรียบ(เดือนนี้ผมคงถูกอายัดแล้วครับ)

    ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

เรียน พ่อลูกหนึ่ง

1.  คุณอาจร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคดีใหม่ได้ แต่ต้องยื่นเสียภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่คุณ และไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไร ต้องไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลสั่งยึดเงินเดือนคุณ

2. โดยปกติดอกเบี้ยที่เกิดภายหลังวันพิพากษา ศาลจะสั่งให้คิดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เว้นแต่ในสัญญาจะกำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่น  แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณได้สู้คดี

3. -4.เมื่อเขาฟ้องและบังคับคดีในอายุความแล้ว การหักเงินเดือนนั้นก็จะมีอยู่เรื่อยไปจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน

5. ก็ดูจากคำพิพากษาว่าคุณจะต้องชำระหนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นจำนวนเท่าไร และเขาหักไปแล้วเท่าไร ที่เหลือก็คือเงินที่คุณจะต้องไปชำระ

คนไทยส่วนใหญ่เมื่อค้ำประกันให้ใครไปแล้ว หรือไปเซ็นชื่อกู้ร่วมกับใครแล้ว ก็นั่งนอนสบายนึกเอาว่า ไม่ใช่หนี้ของเรา ลงท้ายก็จะเป็นอย่างที่คุณเป็นอยู่นี่แหละ