1. เข้าใจว่ากฎหมายนี้อยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งคงใช้ระยะเวลาหนึ่งในการตรวจพิจารณา เมื่อเสร็จแล้วยังจะต้องส่งไปให้รัฐบาลเพื่อส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าสภาจะใช้เวลานานเท่าใดในการพิจารณา เมื่อสภาผู้แทนพิจารณาเสร็จแล้วยังจะต้องส่งต่อไปยังวุฒิสภา ถ้าวุฒิสภาแก้ไขและสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย ก็จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณา แล้วจึงส่งกลับไปยังแต่ละสภาอีกทีหนึ่ง ด้วยกระบวนการดังกล่าวจึงยากที่จะบอกได้ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าไร
2. น่าจะเป็นชื่อพ่อแม่ของเด็กที่ขอให้อุ้มบุญ
3. ยังไม่ทราบว่าเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะยอมให้คนที่แต่งงานแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสขอให้มีการอุ้มบุญได้หรือไม่ แต่ถ้าไม่ยอม ก็พอเข้าใจได้ว่าคงจะมีเหตุผลว่า เมื่อไม่ได้มีการสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เด็กที่เกิดมาก็คงมีแต่แม่ เพราะแม้แต่หญิงที่แต่งงานโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสมีลูกด้วยตัวเอง เด็กนั้นก็มีแต่แม่ ยังไม่มีพ่อ
4. การมีลูกนั้น ไม่ใช่นึกถึงแต่ความอยากหรือความสุขของคนที่อยากมีลูกเท่านั้น ต้องนึกถึงเด็กที่จะเกิดมาด้วยว่าจะต้องไม่สร้างปมด้อยให้แก่เขาโดยไม่จำเป็น เด็กที่จะสมบูรณ์ได้ต้องมีทั้งพ่อและแม่ และครอบครัวที่สมบูรณ์ ครอบครัวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชายและหญิงเริ่มสร้างกันขึ้นอันเป็นสถาบันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและตามกฎหมาย อันที่จริงในทางสังคมและจิตใจนั้นครอบครัวที่มีแต่ชายและหญิงก็ยังไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว ความผูกพันและการยึดเหนี่ยวระหว่างชายและหญิงนั้นจะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีบุตร ซึ่งเป็นผลผลิตร่วมกันของชายและหญิงนั้น ความรักที่มีต่อบุตรย่อมเป็นผลสืบเนื่องให้เกิดความผูกพันระหว่างชายและหญิงนั้นยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็สะท้อนกลับให้เกิดความรัก ห่วงใย เสียสละ และการอุปถัมภ์ค้ำชู เพื่อให้ลูกเจริญเติบโตเป็นสมาชิกของสังคมที่ดี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ชายหรือหญิงที่เป็นโสด ย่อมยากที่จะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นได้ (แม้ว่าอาจจะมีบางคนที่เป็นข้อยกเว้นก็ตาม แต่โดยทั่ว ๆ ไปย่อมยากที่จะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ) ถ้ายิ่งเป็นชาย ก็ยิ่งไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ ในทางกฎหมายเขาจึงยึดหลักว่า เด็กต้องมีแม่ (เพราะเป็นคนคลอดออกมาเอง) ส่วนพ่อนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้
5.สิทธิในการให้คนอื่นท้องแล้วตัดขาดจากคนท้องเพื่อให้เด็กนั้นมาเป็นบุตรของคนที่อยากมีลูก นั้น ไม่ใช้สิทธิขั้นพื้นฐาน แต่เป็นสิทธิที่จะเกิดมีขึ้นโดยฝืนธรรมชาติ การที่จะมีกฎหมายอุ้มบุญขึ้น ก็เป็นเพียงแต่จะผ่อนปรนให้หญิงชายที่สมรสกันแล้วไม่สามารถมีบุตรได้โดยธรรมชาติ ได้อาศัยท้องของคนอื่นคลอดบุตรให้ตน ถ้าว่าโดยเคร่งครัดแล้วเชื้อที่จะนำไปใส่ท้องของคนคลอดนั้นควรต้องเป็นเชื้อและไข่ของชายและหญิงที่อยากมีลูก อย่างน้อย ๆ ความผูกพันที่เด็กกับชายและหญิงนั้นจะมีต่อกันจะได้มีส่วนเป็นธรรมชาติหลงเหลืออยู่ให้พอยึดถือได้ว่าเป็นสายเลือดของตน ข้อสำคัญในการมีลูกและเลี้ยงเด็กให้เจริญเติบโตขึ้นนั้น มีทั้งที่เด็กจะเป็นคนน่ารักและเป็นคนดี ฉลาดเฉลียวสมใจ หรืออีกทางหนึ่งอาจเป็นเด็กที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ฉลาดเฉลียว หรือไม่เป็นคนดีอย่างที่ใจต้องการก็ได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเช่นนั้นจริง ความเป็นสายเลือดเดียวกันยังทำให้พ่อแม่ที่ไปฝากเขาท้อง ยังผูกพันและเลี้ยงดูเด็กนั้นต่อไป ไม่ทิ้งขว้างเสียกลางคัน อย่างไรก็ตามกฎหมายที่จะออกมาอาจยินยอมให้ใช้เชื้อและไข่ของคนอื่นก็ได้ ซึ่งก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีถึงปมด้อยและปัญหาที่จะเกิดกับเด็กในอนาคต อนึ่ง คนที่เป็นโสดไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากอยากมีลูก ก็สามารถรับเด็กที่เป็นลูกของคนอื่นมาเป็นบุตรบุญธรรมได้อยู่แล้ว และเมื่อรับมาเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว เด็กนั้นก็จะมีสิทธิเหมือนกับลูกแท้ ๆ ของตน
มีชัย ฤชุพันธุ์ 6 มิถุนายน 2553 |