เรียน ท่านอาจารย์มีชัย ด้วยความเคารพย่ง
ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสำหรับความเมตตาที่ช่วยให้ความกระจ่างจากคำถามหมายเลข 034774 (คำถามในวันที่ 22 เม.ย 2552)ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ คำแนะนำของท่านเปรียบเป็นของขวัญและเป็นกำลังใจสำหรับลูกผู้หญิงที่ขาดญาติมิตร พี่น้อง ยามเกิดปัญหาขึ้นมาทำให้มืดบอดจริง ๆ ตอนนี้ดิฉันตั้งสติและค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์ที่จะต้องทำก่อนหลังอยู่ค่ะ จากปัญหาเดิมคือดิฉันออกจากบ้านมาพักกับหัวหน้าแผนกที่เป็นอาจารย์ด้วยกันค่ะ ทุก ๆ วันเราจะมานั่งฟังธรรม แผ่เมตตา และกำหนดจิตใจให้เป็นจิตที่อภัยกันค่ะ ซึ่งบางวันก็ให้อภัยได้ บางวันก็จิตยังเหมือนไม่บริสุทธิ์ที่จะอภัย สลับกันไป ดิฉันเป็นอาจารย์สอนหนังสือสถาบันเอกชนอายุขึ้นเลข 3 แล้ว ซึ่งก็ไม่น้อยเลย แต่เมื่อเจอปัญหานี้เกิดขึ้นทำให้ทราบเลยว่า ชีวิตเหมือนไม่มีความรู้อะไรเลยโดยเฉพาะในด้านกฏหมาย ดิฉันเลือกใช้ชีวิตคู่ด้วยความซื่อสัตย์และสุจริตจริง ๆ ระมัดระวังในการใช้ชีวิตมาก ๆ เนื่องจากต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้นักศึกษาพร้อมกันนั้นดิฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคนต่างจังหวัดที่ญาติน้อย ทำงานอยู่อย่างสมถะ เรียบง่ายมีคุณแม่ที่อายุมากหน่อย (73 ปี) เนื่องจากดิฉันเป็นลูกหลงค่ะพ่อเสียตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ พี่สาวอายุ 53 ปี คำตอบชี้แนะของท่านทำให้ดิฉันมีความกระจ่างและพอจะเห็นแนวทางแก้ปัญหามากขึ้น ตอนนี้ดิฉันกำลังคุยกับทนายความของมูลนิธิเพื่อนหญิง เนื่องจากตอนออกจากบ้านที่กู้ซื้อร่วมกับสามีไม่มีเงินติดตัวเลย เงินที่กู้ได้เกินเพื่อมาใช้จ่ายเพิ่มเติมเกี่ยวกับบ้านได้โอนในบัญชีของนามสามีค่ะ (ประมาณแสนกว่าบาท)และสามีก็ยึดไปเลยค่ะ วันที่ดิฉันย้ายของออกจากบ้านดิฉันเอามือลูบผนังบ้านและร้องไห้นึกถึงวันที่เหน็ดเหนื่อย วันที่ภูมิใจว่าจะสร้างครอบครัว รับแม่จากต่างจังหวัดมาดูแล แล้วใจหาย มองเสาบ้าน มองดินในรั้ว เห็นความเหน็ดเหนื่อยของตนเองตลอดระยะเวลาที่ต้องกู้ซื้อบ้าน วิ่งวุ่นหาของทยอยเข้าบ้าน ต้มข้าวต้มไปทานที่ทำงานเพื่อประหยัดเป็นเงินค่ารถ จบแล้วกับความเหนื่อยยากของชีวิต ดิฉันบอกตนเองว่าอย่างน้อยการปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยทำให้เข้าใจชีวิตว่าทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง ยามเหน็ดเหนื่อยดิฉันนอนร้องให้อยากสาปแช่งสามีและผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้ชีวิตทุกข์หนัก แต่ก็ใช้ธรรมะเข้าปลอบประโลมใจ เพื่อน ๆ ให้กำลังใจมากค่ะ เพื่อนบ้านข้าง ๆ บ้านซึ่งก็เพิ่งทยอยมาอยู่ไม่นานก็เกาะรั้วร้องให้ร่ำลากัน ท่านค่ะเพื่อนบ้านที่สงสารและทราบข่าวที่เกิดขึ้นได้แจ้งว่าบางวันสามีได้เข้าไปในบ้านและนำผู้หญิงคนนั้นไปด้วย พักผ่อน 2-3 ชม.(ดิฉันไม่ขอเอ่ยว่าทำอะไรนะคะ) ดิฉันมีคามเพิ่มเติมค่ะท่าน
1. สามีแกล้งไม่ส่งค่าผ่อนบ้านมา 2เดือนแล้วค่ะ โดยอ้างว่าให้หย่าก่อนแล้วจะแจ้งธนาคารคัดชื่อเป็นผู้กู้หลักออก ถ้าดิฉันดำเนินการฟ้องหย่าและธนาคารแยกหนี้สินออกเป็น 2 ส่วน บ้านราคา 2,400,000 บาท และส่วนกู้เกินเป็น 115,000 บาทค่ะ ถ้าแยกหนี้ออกเป็น 2 ส่วน คนละประมาณ 1,200,000 บาท แล้ว ดิฉันจะขอส่งเองอีก 1ล้านกว่าบาทต่อจากสามีได้ไหม๊ค่ะ โดยหางานพิเศษเพิ่มเติม หรือว่าไม่ได้ค่ะ เพราะจะว่ายังยึดติดก็เป็นไปได้ค่ะ เพราะดิฉันนั่งรถมาดูบ้านทุกวันยามว่าง เจียดเงินครูซื้อขนมมาฝากคนงาน มายืนคุยกับบ้าน ลูบเสาบ้าน ไม่ได้เสียสตินะคะ แต่รู้สึกรักและภูมิใจ หวังสร้างครอบครัวที่สุข จนสามีมาบอกว่าทำผู้หญิงท้อง 2 เดือนกว่าแล้ว อาจจะส่งบ้านไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีหนทางใดก๋ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ตอนนี้ฟ้องหย่าแล้วจากกันไปตามเส้นทางของแต่ละคนก็ได้ค่ะ หนูขอกำลังใจและคำอวยพรจากท่านด้วยนะคะ ขอบคุณท่านมากจริง ๆ ค่ะ
เรียน ชีวิตเหมือนน้ำเน่า
ในเวลาที่ฟ้องหย่า ก็ควรเรียกร้องสิทธิของคุณที่มีในสินสมรส โดยเฉพาะบ้าน เสียด้วย แต่เมื่อไม่สามารถจะนำบ้านมาแบ่งครึ่งได้ ก็ควรเปิดทางให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซื้อไปเป็นของตน โดยจ่ายเงินส่วนที่อีกคนหนึ่งมีสิทธิจะได้ให้ไปแทน โดยในกรณีที่คุณเรียกค่าเลี้ยงดูได้ ก็อาจแปลงค่าเลี้ยงดูนั้นเป็นค่าบ้าน โดยคุณเอาบ้านนั้นมาผ่อนส่งต่อ โดยไม่ต้องเอาค่าเลี้ยงดู โดยถือว่าส่วนของสามีที่จะพึงได้จากบ้านนั้นเป็นค่าเลี้ยงดูที่จะต้องจ่ายให้คุ๊ณ ถ้าทำได้อย่างนี้ บ้านนั้นก็จะกลายเป็นของคุณคนเดียว โดยคุณเป็นคนผ่อนส่งต่อไป