เรียน คุณมีชัย
เนื่องด้วยดิฉันมีปัญหาของน้องชายจะมาเรียนสอบถาม คือ น้องชายของดิฉันได้ตกลงอยู่กินกับผู้หญิงคนหนึ่งตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี(เนื่องจากผู้หญิงชอบและตามตลอด)ซึ่งแรกๆ พี่น้องก็ไม่ค่อยเห็นด้วยจนระยะเวลาผ่านไปหลายปีก็เห็นถึงความรักที่เขามีให้กัน ก็ทั้งญาตฝ่ายชายและหญิงก็ต่างเห็นชอบ (แต่ไม่ได้จดทะเบียนกัน) และอยู่กันจนสร้างฐานะดีขึ้นเรื่อยๆ จากที่มีหนี้สินจนมีเป็นหลายล้าน แต่ก็ใช้หมุนเวียนในบริษัท ซึ่งตลอดระยะเวลาฝ่ายหญิงก็จะเป็นผู้ดูแลเรื่องเงิน จนกระทั้งกลางปี2549 ทั้งสองคนก็ได้ไปซื้อบ้านที่ต่างจังหวัดให้แม่ของฝ่ายชาย แต่ซื้อในชื่อของฝ่ายหญิงเพราะฝ่ายชายไม่มีชื่อหลักในบริษัทใช้ชื่อฝ่ายหญิงทุกอย่างเพื่อความง่ายในการซื้อจึงใช้ชื่อฝ่ายหญิง ขอกู้ธนาคาร และได้บ้านและอยู่กันมาด้วยความราบรื่น บริษัทก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งปลายปี2550 แม่ของฝ่ายหญิงได้ชวนลูกสาวไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง(เป็นวัดที่มีชื่อเสียงในการบริจาค) และหลังจากนั้นมาก็ไปนั่งสมาธิที่เชียงใหม่หลังจากกลับมาจากนั่งสมาธิ เขาก็เริ่มเปลี่ยนไป ย้ายไปนอนที่ห้องพระ เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้นกับสามี อ้างว่าสามีไม่รักลูกบ้าง(ลูกติดจากผู้หญิงมา) ซึ่งเวลาที่แกไม่อยู่สามีก็จะเป็นคนดูแลลูกตลอด และอ้างว่าสามีไม่เอาใจชวนสามีไปวัด สามีก็ไม่ไปเพราะเขาไม่ชอบวัดนี้ สามีบอกว่าถ้าจะไปก็ไปได้ไม่ต้องมาชวนและก็อย่าไปบริจาคเยอะน่ะ และก็จะทะเลาะกันบ่อยขึ้น จนกระทั้งที่วัดมีการบริจาคครั้งใหญ่ ทางภรรยาก็เอาเงินไปบริจาคเกือบ 6 ล้านบาทซึ่งสามีไม่ทราบมาทราบทีหลังทำให้สามีโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก็คุยกันว่าต่อไปอย่าทำอีก แต่ฝ่ายภรรยาก็ไม่ยอมบอกจะต้องทำบุญอีกให้ได้ ทำให้คุยกันไม่ได้ และฝ่ายหญิงเริ่มไม่อยู่บ้านออกไปวัดตลอด จนกระทั้งฝ่ายภรรยาพาผู้ชายมานอนด้วยที่ห้องพระ(ซึ่งห้องพระเป็นห้องที่แยกออกมาจากตัวห้องนอนคือเป็นคอนโด ห้องนอนห้องหนึ่ง ห้องพระอีกห้องและคนละชั้น และผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนที่ทำงานในวัด เขาเรียกว่าผู้ประสานงานเขต) ครั้งแรกๆ ที่พามาเขาไม่ได้ค้างคืน จนกระทั้งหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายก่อนจะระเบิดสามีก็รอดูอยู่ตลอดว่าเขากลับหรือยัง ให้ลูกชายขึ้นไปดูเห็นรองเท้า แต่ไม่เห็นคน จนกระทั้ง ตี 2 เขาปิดไฟในห้อง แต่เปิดไฟห้องน้ำไว้ สามีก็ขึ้นไปเคาะห้อง และคุยกันแต่คุยไม่รู้เรื่องเพราะภรรยาโวยวาย สามีพูดอะไรก็หาว่าสามีใส่ร้าย(คือเขาบอกผู้ชายคนนั้นว่าเขาไม่มีสามีมีแต่ลูก) และก็คุยไม่รู้เรื่องหลังจากนั้นภรรยาก็ไม่ค่อยนอนที่ห้องพระจะออกไปข้างนอกตลอด ไปต่างจังหวัดบ้าง จนกระทั้งมกราคมปี2551 ก็ตัดสินใจแยกทางกัน โดยที่ฝ่ายสามีไม่เอาทรัพย์สินอะไรสักอย่างขออย่างเดียวคือบ้านที่ซื้อให้แม่ซึ่งกำลังผ่อนอยู่ โดยขอให้ภรรยาจ่ายเงินและโอนบ้านหลังนี้ให้ถ้าเสร็จจากนี้ก็คือไม่จะไม่มายุ่งเกี่ยวอีกแล้ว ซึ่งได้เขียนสัญญาขึ้นมาฉบับหนึ่งว่าให้ภรรยาผ่อนจ่ายให้เดือนละ หนึ่งแสนบาท 12 เดือน ซึ่งก็ครบกำหนดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ พอครบ12 เดือนแล้วทั้งฝายสามีและภรรยาก็จะจ่ายส่วนที่เหลือคนละครึ่ง ซึ่งฝ่ายสามีต้องจ่ายค่าโอนด้วย และพอถึงกำหนด ฝ่ายภรรยาไม่ยอมให้พบและคุยด้วย เวลามาหาก็จะหนีตลอดเหมือนกลัวเขาจะมาฆ่ายังไงยังงั้น ซึ่งในความเป็นจริงฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้จ่ายเดือนละแสนอย่างที่ตกลงกันไว้ จ่ายแค่ 20,000 บาท ตามงวดที่ต้องส่งธนาคาร แกอ้างว่ามันต้องจ่ายค่าปรับก็เลยไม่จ่าย แต่นับตั้งแต่วันที่เลิกกันจนถึงปัจจุบัน ฝ่ายหญิงก็เอาเงินไปบริจาคให้วัดประมาณ 15 ล้านบาทน่าจะได้ และทุกวันนี้เขาก็ยังคบกับผู้ชายที่วัดอยู่อย่างเปิดเผยกับพนักงานในบริษัทแต่ไม่ให้แม่ตัวเองรู้
ซึ่งทุกคนที่รู้จักเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าจะจ่ายและโอนให้มันเสร็จไปเพราะเงินก็มี แต่ฝ่ายหญิงอ้างว่าเขาหาเงินคนเดียวผู้ชายไม่ช่วย อยู่ด้วยกันตั้งแต่ปี43 จนปี50 จากหนี้สินท่วมหัวลิมตาอ้าปากได้มีเงินใช้มีเงินบริจาคเยอะๆ บอกหาคนเดียว มันจะเป็นไปได้ยังไง (เนื่องจากดิฉันก็ทำงานอยู่ที่นี่จึงทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร)
คำถาม อยากจะถามว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้แกโอนบ้านให้ เพราะตอนนี้ฝ่ายชายก็ยังไม่กล้าที่จะทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งเพราะกลัวจะมีปัญหาเวลามาทำเรื่องบ้านเนื่องจากรู้ว่าผู้หญิงเป็นคนที่ไม่ค่อยรักษาคำพูด ไม่รุ้ว่าสัญญาที่มีอยู่จะใช้ได้หรือเปล่า แล้วเราจะหาทางออกอย่างไรดี
เพราะน้องชายทุ่มเทกับเขามากไม่เคยคิดว่าจะต้องเลิกกัน ตัวเองก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรงานก็ทำแต่กับเมียไม่มีงานนอก ก็เลยกลายเป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการทำงานนอกเลย เหมือนเราเสียโอกาส เพราะทางครอบครัวก็ไม่ใช่ฐานะดีอะไรนักหนา พอออกมาจากเมียก็มาตัวเปล่า เหมือนเราโดนหลอก พอมีเงินขึ้นมาถีมหัวเราส่ง ขอความกรุณาให้คำชี้แนะด้วยน่ะค่ะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
\ไม่รู้จะแนะนำอย่างไรเหมือนกัน เพราะไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะตอบได้ อันที่จริงการที่ทำมาหากินมาด้วยกันนั้นแม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทั้งสองฝ่ายก็มีฐานะเป็นหุ้นส่วนกัน ทรัพย์สินที่หามาได้ย่อมมีสิทธิ์กันคนละครึ่ง