การปฏิบัติราชการ
เรียน อ.มีชัย ที่เคารพอย่างสูง
มีประเด็นข้อเท็จจริงว่า ข้าพเจ้า ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทุจริตต่อหน้าที่ ร่วมกับคณะเทศมนตรี(เดิม) เมื่อปี 2543 ผู้ร้องแจ้งความตำรวจ พส.สอบสวนปากคำผู้เกี่ยวข้องส่งข้อเท็จจริงให้ ปปช. ต่อมา ปปช.ชี้มูลความผิด เมื่อปี 2547 ว่าข้าฯร่วมกระทำผิดตามข้อกล่าวหา เมื่อปี 2548 ทางวินัยมีคำสั่งไล่ออกจากราชการ ข้าฯฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งฯ ผู้ร้องได้ฟ้องทางแพ่งด้วย และทางอาญาอัยการสูงสุดฟ้องศาลอาญา ผลพิจารณามีคำพิพากษายกฟ้อง และปรากฎข้อเท็จจริงในคำพิพากษาว่าข้าฯมิได้กระทำความผิดตามฟ้องและพยานโจทย์มีข้อพิรุทมากมาย กรณีสำนวน ปปช.ข้อพิจารณาและความเห็นของ ปปช.ศาลลงความเห็นว่าก็มิได้อธิบายถึงเหตุผลถึงความเห็นดังกล่าว เพียงแต่เชื่อตามคำให้การของผู้กล่าวหาและพยานบุคคลเท่านั้น โดยไม่ฟังพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสี่ว่าไม่ถุกต้องอย่างไร ย่อมส่งผลเสียแก่จำเลยทั้งสี่ จึงไม่อาจนำคำวินิจฉัยของ ปปช.มาประกอบการพิจารณาคดีนี้ได้ ต่อมาปี 2551 สตง.ส่งเรื่องให้สอบทางละเมิดอีก และหน่วยงานต้นสังกัดได้มีคำสั่งสอบละเมิด ขณะนี้อยุ่ระหว่างสอบละเมิด
ขอปรึกษาว่ากรณีนี้ ข้าฯผู้ถูกกล่าวหาขอเรียนความจริงที่แท้ว่าข้าฯไม่เคยเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด แต่ทำงานในฐานะปลัด ทต.ก็ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงที่แท้แล้วใครเป็นผุ้กระทำผิดจริง กระบวนการสอบสวนแต่ละหน่วยงานควรจะยึดสำนวนสอบสวนใดเป็นหลักบรรทัดฐาน เพราะสอบสวนกันไม่รู้จักจบสิ้น
1. ทางวินัย ทต.สอบสวนแล้ว ข้าฯไม่ได้กระทำผิด
2. ปปช. ไต่สวนแล้วสรุปว่า ข้าฯร่วมกระทำผิด
3. อาญา ไต่สวนแล้วสรุปว่า ข้าฯ ไม่ได้กรทำผิด
4. ทางแพ่ง อยู่ระหว่างรอผลทางอาญา เพราะอัยการการอุทธรณ์ต่อ
5. ทางละเมิด อยู่ระหว่างสอบสวน
และขอถามว่าในทางละเมิด มีความจำเป็นต้องสอบข้อเท็จจริงอีกหรือไม่ เพราะกระบวนการทุกอย่างได้เข้าสุ่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และเหตุใดจึงกำลังมาสอบข้อเท็จจริงทางละเมิด เพราะ สตง.ตรวจสอบตั้งแต่ปี 2543 แล้วเพิ่งจะส่งเรื่องให้สอบข้อเท็จจริงทางละเมิด อายุความการสอบทางละเมิดกำหนดไว้อย่างไร |