เรียนอาจารย์มีชัย ที่เคารพ

ดิฉันมีปัญหาใครขอรบกวนอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ตอบให้ด้วยค่ะ

ดิฉันกู้เงินกับเฟิร์สช้อยส์ เป็นแบบสินเชื่อสว่นบุคคลค่ะ ไม่มีคนค้ำ และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ ไม่ได้ซื้อสินค้าจากร้านค้าด้วยค่ะ ดิฉันกู้มาจำนวน2แสนบาทดอกเบี้ย71000 บาทระยะเวลาผ่อนชำระ 36งวด รวมเป็นเงินกู้271000บาท ส่งเดือนละ7พันห้าร้อยกว่าบาท ดิฉันส่งมาได้ 1ปี ก็มีปัญหาไม่สามรถส่งต่อได้เนื่องจาก ธุรกิจที่ดิฉันทำมีปัญหาขาดสภาพคล่องและไม่สามารถหาเงินกู้จากที่ไหนมาหมุ่นให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ เรียกว่าหมดตัว ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนลูกน้องมา 2เดือนแล้วค่ะ เงินจะกินข้าวก็ไม่มี อีกสองเดือนจะคลอดลูกก็ยังไม่มีเงินทำคลอดเลย

พนักงานของเฟิร์สช้อยโทรมาบอกให้ดิฉันเอาสิ่งของในบ้านไปขายแล้วเอาเงินไปใช้หนี้เขา ดิฉันไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย ที่ดินก็ไม่มี สำนักงานก็เช่า รถยนต์ที่ใช้งานอยู่ทุกวันก็เช่า(เช่าธรรมดาไม่ใช่เช่าชื้อ) บ้านก็ยังส่งแบ้งค์ไม่หมด บ้านเป็นชื่อของสามีกับชื่อดิฉันกู้ร่วมกัน สามีไม่ได้ทำธุรกิจด้วยกันค่ะ แต่ทำงานที่อื่นมีเงินเดือนแค่พอส่งบ้าน กับส่งค่าบัตรเครดิต(ชื่อของสามี)ก็หมดแล้วค่ะ ไม่เหลือเลยสักบาท  ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.เฟิร์สช้อยมีสิทธิ์มาขน หรือขู่บังคับให้ดิฉันขายสิ่งของในบ้านได้หรือเปล่าค่ะ หากเขามาทวงอีกดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ

2.ถ้าดิฉันจะรอให้เขาฟ้องก่อนแล้วค่อยไปตกลงกันที่ศาลจะดีกว่าคุยกับเฟิร์สช้อยส์เองไหมคะ

3.ถ้าช่วงที่เขาฟ้องตรงกับที่ดิฉันคลอดลูกพอดี ไม่สามารถไปศาลได้ควรทำอย่างไรคะ

4.ดิฉันอยากจะขอประนอมหนี้ค่ะ พอจะเป็นไปได้ไหมคะ ดิฉันเองก็อยากจะจ่ายหนี้ แต่มันยังไม่มีจ่าย ที่ผ่านมาดิฉันก็ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เลย  ขอความกรุณาอาจารย์แนะนำเพิ่มเติมส่วนที่ดิฉันควรถามแล้วไม่ได้ให้ด้วยนะคะกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าด้วยค่ะ

เรียน คุณตะวัน

         1.  บริษัทไม่มีสิทธิมาขนของของคุณไปขายเองได้ เว้นแต่จะมีคำสั่งของศาลให้ยึดทรัพย์

มาขายทอดตลาด  สิ่งที่เขาบอก คงเป็นแต่เพียง คำแนะนำ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน ดอกเบี้ยจะยิ่งพอกพูนขึ้น แล้ววันข้างหน้าจะยิ่งลำบากมากขึ้น  ถ้าเขาทวงถามมาอีก ก็ควรเจรจาตกลงกับเขา โดยขอขยายระยะเวลาผ่อนส่งให้นานขึ้น เพื่อจะได้ผ่อนชำระน้อยลง

        2. ถึงตอนนั้น ก็จะยิ่งมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่จะต้องรับผิดชอบตามมา เช่นค่าธรรมเนียมศาล ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงหนี้ ซึ่งจะทำให้ยอดเงินที่ต้องชำระสูงขึ้นไปอีก

        3. การดำเนินคดีในศาลนั้น เมื่อมีทนายความแล้ว ตัวความก็ไม่จำเป็นต้องไปศาลก็ได้

        4. นอกจากคำแนะนำตามข้อ 1. แล้ว  หากมีทรัพย์สินอะไร เช่น แก้วแหวนเงินทอง ที่พอขายเอาเงินมาชำระหนี้ได้ ก็ควรรีบทำเสีย อย่าไปเสียดายหรือติดยึด ต่อไปเมื่อตั้งตัวได้แล้ว ย่อมจะสามารถซื้อหามาแทนที่ได้