เรียน ท่านอาจารย์มีชัย ที่นับถือ
1.หน้าที่ของ กกต.ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 10 (1) กำหนดให้ กกต.มีอำนาจและหน้าที่ควบคุมและดำเนินการหรือจัดให้มีการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและมาตรา 22 ให้ กกต.เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ฉนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า กกต.ดำเนินการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและไม่เที่ยงธรรมแล้ว จะมีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157หรือไม่ และจะถือว่าเป็นคุณเป็นโทษแก่พรรคการเมืองใดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ฯ มตรา 24,42 หรือไม่ครับ
2.คุณปริญญา นาคฉัตรีย์ เคยรับราชการเป็นตุลาการศาลฎีกาหรือไม่ครับ ถ้าไม่เคยทำไมเป็น กกต.สายตุลาการศาลฎีกา
3.สังคมส่วนมากกำลังเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่า กกต.เป็นองค์กรที่จัดการเลือกตั้ไม่เที่ยงธรรม สังคมเห็นว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ กกต.ควรลาออกและพรรค 3 พรรคก็เห็นในประเด็นนี้จึงไม่ร่วมประชุมในวันที่ 15 พ.ค.2549 แต่พรรครัฐบาลกลับเห็นว่า ที่ไม่ร่วมประขุมเพราะเรื่องปลดล๊อก 90 วันและต้องการตีรวน จึงอยากเรียนถามความเห็นของท่านอาจารย์ว่าทำไมพรรครัฐบาลจึงเห็นเช่นนั้น
ผมขอเรียนถาม 3 ข้อ ขอบคุณครับ
พ.ต.อ.สุรพล โคจรสวัสดิ์(นิติ มธ.01)
เรียน พ.ต.อ.สุรพล
1 ถ้าเป็นการกระทำโดยเจตนา ก็อาจมีความผิดอย่าที่คุณว่ามาได้ แต่ในเรื่องเจตนานั้นถ้าดูตามบรรทัดฐานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในเรื่อง การเพิ่มค่าตอบแทนของ ปปช.แล้ว ก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
2. การเสนอชื่อของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะผู้ที่เคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาเท่านั้น จะเสนอชื่อใครก็ได้ที่เห็นว่าสมควร คุณปริญญา นาคฉัตรีย์ ซึ่งไม่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อนจึงได้รับคัดเลือก ซึ่งอาจเป็นเพราะตอนนั้นที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นผู้ที่สมควร หรือเพราะไม่มีตัวเลือก ก็เป็นได้ เนื่องจาก คนที่เป็นหรือเคยเป็นผู้พิพากษาไม่ค่อยมีใครอยากมาเป็น
3. เมื่อเป็นเรื่องความเห็นของพรรคการเมือง จึงเป็นเรื่องของการเมืองโดยแท้ บางทีเหตุผลที่ปรากฏต่อสาธารณะ จึงอาจไม่ใช่เป็นเหตุผลที่แท้จริงก็ได้ เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นเหตุผลในลักษณะของ "ประชานิยม" คือให้ดูดีในทางการเมือง