1. กระบวนการในการตรวจสอบ ปปช.ตามรัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ ๒ ระดับ คือ ระดับที่เอาออกจากตำแหน่ง หรือการถอดถอน ตามมาตรา ๒๙๙ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้มีสิทธิเข้าชื่อกันยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้มีมติถอดถอน กับระดับที่จะลงโทษโดยไม่เกี่ยวกับการถอดถอน ตามมาตรา ๓๐๐ ซึ่งทั้ง สส.และ สว.มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้ลงโทษเมื่อเห็นว่า ปปช.กระทำความผิด ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่เกี่ยวกับการถอดถอน
เมื่อบัดนี้ศาลฎีกาฯได้มีคำพิพากษาว่า ปปช.ทั้งคณะกระทำความผิดมีโทษจำคุก แต่โทษจำคุกให้รอการลงอาญาไว้ ปัญหาจึงมีว่า ปปช.พ้นจากตำแหน่งโดยอัตตโนมัติหรือไม่ ซึ่งเมื่อดูกฎหมายแล้ว เห็นมีแต่กฎหมายของ ปปช.ที่กำหนดว่า ปปช.พ้นจากตำแหน่งเมื่อ "ต้องคำพิพากษาให้จำคุก" ซึ่งความที่ว่า "ต้องคำพิพากษาให้จำคุก" นั้น เคยเข้าใจกันในหมู่นักกฎหมายส่วนไม่น้อยว่า หมายถึงมีคำพิพากษาให้จำคุก โดยไม่จำเป็นต้องถูกจำคุกจริง ๆ คือแม้ศาลจะสั่งให้รอลงอาญา ก็เข้าข่ายแล้ว เพราะถ้าเป็นกรณีที่ต้องได้รับโทษจำคุกจริง ๆ กฎหมายจะเขียนว่า "ได้รับโทษจำคุก" บ้าง "ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล" บ้าง แต่ปรากฏว่าเมื่อไม่นานนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในคดีของคุณเนวิน ว่า คำที่ว่า "ต้องคำพิพากษาให้จำคุก" นั้น เมื่อศาลรอลงอาญา ก็ถือไม่ได้ว่า เป็นการ "ต้องคำพิพากษาให้จำคุก" กล่าวคือ มีความหมายว่าต้องได้รับโทษจำคุกจริง ๆ ดังนั้นตราบที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือเอาเป็นที่ยุติไปพลางก่อนว่า กรณีของ ปปช.ยังไม่เข้าข่ายที่จะพ้นจากตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดไว้
แต่ถ้าจะถามว่าแล้วจะยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้หรือไม่ ก็ต้องไปพิจารณารัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๗ วรรคสอง ซึ่งกำหนดว่า "กรรมการ ปปช.ต้องเป็นผู้ซึ่้งมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" นอกจากนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ของ ปปช.ซึ่งมีอำนาจในการชี้ว่าใครจะทุจริตคิดไม่ชอบ จึงจำเป็นต้องอยู่ในภาวะที่ "ได้รับความเชื่อถือ" หรือ "ไว้วางใจ" จริงอยู่การกระทำของ ปปช.ที่ถูกลงโทษนั้น เมื่อมองสภาพของความทุจริตที่มีในสังคมแล้ว ก็น่าอนาถใจนัก เพราะต้องมาถูกลงโทษจากผลการกระทำอย่างเปิดเผย ตรง ๆ โดยเข้าใจว่ามีอำนาจกระทำได้ ด้วยเงินที่เพิ่มขึ้นเดือนละ ๔ หมื่นบาท แต่เมื่อศาลฎีกาพิพากษาเช่นนั้นแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่สังคมจะขาดความไว้วางใจ และเมื่อไม่ได้รับความวางใจ การทำงานต่อไปก็ย่อมเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงความขัดข้องที่จะมีในเงื่อนแง่ของกฎหมายที่จะมีอยู่ต่อไปอีกมากมาย ดังนั้นถามถามว่า แล้วจะทำหน้าที่ต่อไปได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ยังสงสัยอยู่ และถ้าถามต่อไปว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อไป คำตอบก็คือ ต้องสุดแต่ความคิดของแต่ละคน ที่จะรับรู้ถึงวิบากกรรมทีจะเกิดขึ้นในวันหน้ามากน้อยเพียงใด
ในส่วนที่ว่าถ้า ปปช.ลาออกทั้งหมด การสรรหา ปปช.ใหม่จะทำอย่างไร เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดเงื่อนไขของคณะกรรมการสรรหาไว้ตายตัว คือ ต้องมีกรรมการ ๑๕ คน และต้องมีผู้แทนพรรคการเมืองทุกพรรคที่มีสมาชิกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคละหนึ่ง คนซึ่งเลือกกันเองให้เหลือห้าคน แต่บัดนี้ในสภาผู้แทนมีพรรคการเมืองเพียง ๔ พรรคเท่านั้น เงื่อนไขทั้ง ๒ อย่าง จึงไม่มีทางจะทำให้ครบถ้วนได้ ทั้งในจำนวน ๑๕ คน (เพราะอย่างมากก็มีได้ ๑๔ คน) และผู้แทนพรรคการเมืองก็มีได้อย่างมากเพียง ๔ คน
อันที่จริงปัญหานั้นเกิดขึ้นแล้ว แม้ ปปช.จะไม่ลาออกหมด เพียงลาออก ๑ คน ดังที่เป็นข่าว ก็เกิดปัญหาแล้วว่าจะสรรหาเพื่อแต่งตั้งแทนคนที่ลาออกกันได้อย่างไร ถ้าตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด การสรรหาก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่จะหากรรมการสรรหาได้ครบตามที่กำหนดไว้ ทางออกก็คือต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียก่อน แต่หลักในการตีความกฎหมายนั้น ถือกันว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ต้องตีความในทางที่จะให้เกิดผลปฏิบัติได้ ซึ่งถ้าถือหลักเช่นนั้น เมื่อจำเป็นต้องสรรหาโดยหลีักเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องตีความว่าเมื่อมีพรรคการเมืองอยู่ในสภาเท่าใด ก็ต้องเลือกไปเพียงเท่านั้น คือเมื่อมีเพียง ๔ คน ก็ต้องเลือกให้ไปทำหน้าที่ตามที่มีอยู่ ที่ว่ามานั้่นก็เป็นเพียงความคิดเห็น แต่ถึงเวลาเข้าจริง คนที่เกี่ยวข้องเขาจะคิดกันอย่างไร เขาจะอยากทำอย่างไร ก็สุดจะเดา เพราะเดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ใกล้จะเป็นพาราสาวัตถีเข้าไปทุกทีแล้ว
มีชัย ฤชุพันธุ์ 26 พฤษภาคม 2548 |