เรียน ท่านอาจารย์มีชัย
ด้วยเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ กลุ่มหรรษาฯได้ซื้อกิจการโรงแรมเจบี.หาดใหญ่ จากธนาคารทหารไทย เป็นเงิน ๔๖๑ ล้านบาท และวันเดียวกันได้เข้าครอบครองโรงแรมเจ.บี.หาดใหญ่ ซึ่งก่อนที่จะเข้าครอบครองโรงแรมเจ.บี.หาดใหญ่ มีบริษัท เซาเทิร์น โดยนายอัครเดช เช่าอยู่ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๔๗ ค่าเช่าเดือนละ ๖๕๐,๐๐๐ บาททั้งตัวอาคารและเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์โรงแรมทุกชิ้น และขณะที่กลุ่มหรรษาฯตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับทางผู้เช่าและให้ขนย้ายทรัพย์ออกภายใน ๓๐ วัน หากไม่ออก ธนาคารจะเข้าครอบครองทันทีตามข้อตกลงในสัญญาเช่า เมื่อครบกำหนดวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ทางผู้เช่าไม่ยอมออก วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ กลุ่มหรรษาฯได้รับโอนกรรมสิทธิ์ทั้งตัวอาคารและเฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ทุกชิ้นจากธนาคารผู้ขาย และได้มาที่โรงแรมเจบี.หาดใหญ่ แสดงตัวขอเข้าครอบครอง พบตำรวจนอกราชการเป็นผู้จัดการโรงแรมบอกว่า ไม่ให้เข้าครอบครอง สอบถามกันบอกว่ารู้แล้วว่ามีการบอกเลิกสัญญาเช่า และรู้ด้วยว่ากลุ่มหรรษาฯกู้เงินมาจำนวน ๔๐๐ ล้านบาท จะกลั่นแกล้งไม่ยอมออก ให้ไปฟ้องศาลจะทนอยู่เก็บผลประโยชน์ จนกว่ากลุ่มหรรษา เสียดอกเบี้ยล้มละลายไปเอง วันเดียวกันกลุ่มหรรษา ได้ไปลงปจว.สภ.หาดใหญ่ข้อเข้าครอบครองโรงแรมที่ซื้อ ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าที่ให้ครอบครองได้ทันที และได้เข้าครอบครองโดยปราศจากอาวุธ ไม่มีการต่อต้านขัดขืนจากพนักงาน ยกเว้นตำรวจนอกราชการที่ออกไปจากโรงแรม และกลับมาแสดงอาการจะเข้าทำร้ายพนักงานกลุ่มหรรษา กลุ่มหรรษาเข้าบริหารโรงแรมปรับปรุงกิจการและเปิดบริการมาตลอด จนกระทั่งวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ศาลส่งขลาได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ไต่สวนฉุกเฉิน ไต่สวนปากตำรวจนอกราชการเพียงปากเดียวว่าไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่า ศาลสั่งให้กลุ่มผู้เช่าเดิมกลับเข้าครอบครอง ใช้เวลาสืบพยาน ๒ แผ่น ไต่สวน ๑๕.๐๐ น. สั่งคุ้มครอง ๑๖.๐๐ น. รุ่งขึ้นทางกลุ่มหรรษาได้รับหมาย ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน ใช้เวลาไต่สวน ๕ ชั่วโมง เอกสาร ๑ ปึก ใหญ่และวีดีโอขณะที่มีการเจรจาว่าผู้เช่ารู้ว่ามีการบอกเลิก ศาลสั่งฟังคำสั่งช่วงบ่ายของอีกวัน ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน ให้ผู้เช่ากลับเข้าครอบครอง โดยอ้างว่าเป็นการเข้าครอบครองโรงแรมโดยมิชอบ ทั้งที่ในสัญญาเช่าระบุชัดเจนว่า การเช่าโรงแรมเป็นการเช่าเพื่อการขายตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย และสัญญาเช่าระบุทันทีว่าสัญญาเช่าระงับเมื่อมีการตกลงขายให้กับผู้อื่น หรือโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้อื่น ศาลไม่ได้พิเคราะห์สัญญาเช่าเพียงแต่ระบุสั้นเท่านั้น ปัญหาที่ตามมาคือโรงแรมเจบี หาดใหญ่ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นหรรษา เจบี ทรัพย์สินทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ที่เช่าเป็นกรรมสิทธิ์ของกลุ่มหรรษาแล้ว และพนักงานได้มีการเปลี่ยนแปลงรับสมัครเป็นพนักงานของกลุ่มหรรษาหมดแล้ว และมีการเปิดจองห้องพัก และประชุมสัมมนายาวเยียด ศาลสั่งเพียงแค่นี้ ทางผู้เช่าจะเข้ามายังบริหารยังไง มีสิทธิยังไงเหนือกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ และหากเข้ามาจริงทางกลุ่มหรรษา ก็จะต้องถอดอุปกรณ์ทุกชิ้นที่เป็นสังหาริมทรัพย์ประมาณ หมื่นชิ้้น ทั้งแอร์ ตู้เย็น ทีวี ที่นอน โต๊ะเก้าอี้ ทุกห้องในโรงแรม และจะกระทบกับผู้เข้าร่วมสัมมนาซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงที่จะต้องมาจากทั่วประเทศ ซึ่งทุกอย่างได้สืบและอธิบายให้ศาลฟังและจด แต่ไม่มีการวิเคราะห์พิจารณาในส่วนนี้แต่อย่างใด จะรออุทธรณ์ก็ไม่รู้เมื่อไหรจะกลับมา แล้วให้คนเช่ามาอยู่ในทรัพย์สินโดยจ่ายค่าเช่าเพียง ๖๕๐,๐๐๐ บาท ขณะที่ผู้ซื้อโดยถูกต้องชอบธรรมเปิดเผยจากธนาคารทหารไทย ที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์กำกับดูแล และต้องเสียดอกเบี้ยถึง ๓ ล้านบาท ท่านว่าชอบธรรมหรือไม่ จะบีบให้ไปใส่เสื้อแดงหรืออย่างไร โปรดช่วยเหลือแก้ไขด้วยครับท่านอาจารย์ ไม่งั้นตีกันตายอีกไม่กี่วันที่หาดใหญ่