ดิฉันกู้ซื้อบ้านร่วมกับพ่อเลี้ยงตั้งแต่ปี 2547 โดยผ่อนตรงตลอด ต่อมาพ่อเลี้ยงเลิกกับแม่ดิฉันและกลับไปอยู่ชุมพร และไม่สามารถติดต่อกันได้ ต่อมาดิฉันหยุดผ่อนบ้านไปเมื่อเดือน เม.ย.2552 และในเดือน พ.ค.2553 ทางธ.อาคารสงเคราะห์ก็ยื่นฟ้อง โดยนัดเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ทางพ่อเลี้ยงก็ไม่มาศาลตามนัด ซึ่งทางทนายฝ่ายโจทก์ก็แนะนำให้ทำใบแต่งทนาย และทำหนังสือมอบอำนาจให้ดิฉันมาศาลแทน พ่อเลี้ยงก็ไม่ยอมเซ็นเอกสารใด ๆ ให้ทั้งสิ้น จนล่าสุดศาลนัดไกล่เกลี่ยครั้งสุดท้ายวันที่ 25/11/53 นี้ โดยดิฉันต้องไปทำเรื่องประนีประนอมยอมความกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ก่อน จึงจะนำเอกสารไปยื่นต่อศาลในวันที่ 25/11/53 ดิฉันต้องการจะเอาบ้านไว้และผ่อนต่อไป แต่ไม่อยากให้มีปัญหาในอนาคต เพราะบ้านมีชื่อผู้เลี้ยงอยู่ด้วย
1. ถ้าพ่อเลี้ยงไม่ยอมมาศาลเลย เป็นจำนวนกี่ครั้งคะ ถึงจะตัดสิทธิ์ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังนี้
2. บ้านหลังนี้ยังไม่มีเจ้าบ้านเนื่องจากดิฉันจะไปโอนชื่อเข้าเป็นเจ้าบ้านทางอำเภอไม่ยอม บอกว่าจะต้องให้ผู้กู้ร่วมอีกคนเซ็นยินยอมก่อนจึงจะย้ายชื่อเป็นเจ้าบ้านได้ พอจะมีวิธีไหนบ้างคะที่ดิฉันจะได้โอนชื่อเป็นเจ้าบ้าน
3.บ้านหลังนี้ดิฉันเป็นคนจ่ายค่าดาวน์ และ ผ่อนบ้านเองคนเดียวทั้งหมด แต่กู้คนเดียวรายได้ไม่เพียงพอ เมื่อก่อนรายได้ 9,000.-/เดือน จึงต้องยืมชื่อพ่อเลี้ยงให้มากู้ร่วมด้วย หากพ่อเลี้ยงไม่ยอมมาขึ้นศาล และไม่มาทำประนีประนอมยอมความ แต่เป็นดิฉันดำเนินเรื่องเองและผ่อนคนเดียว แล้วดิฉันสามารถเรียกร้องสิทธิเป็นเจ้าของคนเดียวได้หรือไม่
1. ไม่มีหรอก จะไม่มากี่ครั้งก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเป็นเจ้าของร่วมในบ้านที่คุณซื้อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การเป็นลูกหนี้ร่วมกัน โดยคุณส่งชำระหนี้คนเดียวนั้น ผลก็คือ ถ้าคุณไม่ส่งบ้านเมื่อไร ธนาคารก็ต้องฟ้องทั้งสองคนเพื่อให้ชำระหนี้ แต่เวลาผ่อนหมดแล้ว บ้านนั้นก็อาจเป็นของคนสองคน คือ คุณ กับพ่อเลี้ยง (ขึ้นอยู่กับว่าในสัญญาที่ซื้อบ้านทำกันไว้อย่างไร) ในอนาคตคุณคงมีปัญหาไม่น้อย จึงควรเก็บหลักฐานทั้งหมดทุกชิ้นที่เกี่ยวกับสัญญาและการส่งเงินชำระให้แก่ธนาคารไว้ให้ดี ถึงเวลาสิ่งเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย
2. การเป็นเจ้าบ้านไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิเสมอไป ถ้าคุณเป็นหัวหน้าครอบครัวที่อยู่ในบ้านนั้น คุณก็มีสิทธิเป็นเจ้าบ้านได้
3. ถึงเวลาก็คงเป็นปัญหาอย่างที่กล่าวไว้ในข้อ 1 แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปทำความตกลงกับธนาคารไว้ก่อน