ข้อหา: ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ปลอมแปลงเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม
เรียนท่านมีชัย
เนื่องด้วยเหตุเกิดระหว่างวันที่ 8 มกราคม 2551-4ตุลาคม 2551 ดิฉันได้เข้ารับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการเงินของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง โดยการเข้ารับตำแหน่งนี้เป็นการเลือกเข้ารับจากทางผู้จัดการสำนักงาน เพื่อมาทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าคนเก่า ระหว่างที่เข้ารับหน้าที่นั่น ใน ช่วง 2 เดือนแรกทางดิฉันมีหน้าที่เพียงแค่เซ็นต์ชื่อจ่ายเงิน แต่ในการปิดบัญชีแต่ละวัน หรือปิดบัญชีสิ้นเดือน จะยังเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่การเงินคนเดิม เป็นคนทำอยู่ เพราะเนื่องจากว่าตัวดิฉันเอง ยังไม่มีประสบการรืทางด้านนี้เท่าไหร่นัก พอผ่านไป 2 เดือนทางผู้จัดการสำนักงาน ก็ให้ดิฉันทำการปิดบัญชี ตรวจสอบเอกสารเอง จนวันหนึ่ง มีผู้เอาประกันมาติดต่อขอรับเงินคนบกำหนดสัญญา แนก็ทำเอกสารให้กับทางผู้เอาประกัน แต่ปรากฎว่า กรมธรรม์ของลูกค้า ได้ถูกนำมาขอกู้ยืมเงินกับทางบริษัท จึงส่งเอกสารให้ทางผู้จัดการสำนักงานตรวจสอบอีกครั้ง ผู้จัดการสำนักงานบอกให้ฉันจ่ายเงินให้ลูกค้าเต็มวงเงินครบกำหนดสัญญา ฉันจึงถามกลับไปว่า จะจ่ายได้อย่างไร ในเมื่อผู้เอาประกันมีการกู้ยืมเงิน จะต้องหักคืนเงินกู้กับางบริษัทก่อน
ทางผู้จัดการสำนักงานจึงเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวและเล่าว่า ผู้จัดการสำนักงานและเจ้าหน้าที่การเงินคนเก่าได้แอบเอาเลขกรมธรรม์ของผู้เอาประกันมาทำการกู้เงินโดยที่ผู้เอามิได้ยินยอมและรับทราบ และสั่งว่าให้เซ็นต์ชื่อ จ่ายและจ่ายเงินเต็มวงเงิน ให้กับผู้เอาประกัน และได้บอกกับทางดิฉันว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกให้ใครรู้โดยเด็ดขาด ส่วนเรื่องเงินทางผ้จัดการสำนักงานจะหามาทดแทนให้ ทำให้หลังจากนั้นมาดิฉันก็ปิดยอดบัญชีรายวันไม่ตรง แต่ดิฉันก็ไม่ได้บอกใครเรื่องนี้
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งที่ต้องเจอกับการที่กรมธรรม์ของลูกค้าถูกนำมากู้ยิมเงินกับทางบริษัท โดยที่ผู้เอาประกันไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เลย
แต่ทาผู้จัดการก็หาเงินมาทดแทนส่วนต่างเป็นบางครั้ง ครบบ้างไม่ครบบ้างยอดเงินขาดจากบัญชีมาโดยตลอด จนถึงขนาดที่จะต้องนำเอกสารรับเงินครบกำหนดสัญญา เอกสารเงินสมนาคุณลูกค้า เงินทรงชีพของลูกค้า มาเข้าบัญชีเพื่อเป็นหลอกบัญชีว่า ได้มีการจ่ายออกไปแล้ว ทั้งที่ความจริง ลูกค้ายังไม่ได้มาติดต่อขอรับเงิน เรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนวันหนึงทางบริษัท เข้ามาตรวจสอบเอกสาร จึงพบว่าเกิดการทุจริตเกิดขึ้น ทางบริษัทได้ส่งคนมาสอบปากคำ ดิฉันได้เล่าความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น เพียงหวังใจว่านี้จะเป็นโอกาสที่ฉันได้พูดความจริงออกมาสักที ถึงแม้รู้ว่าฉันจะต้องถูกไล่ออกจากงานก็ตาม เนื่องจากฉันคิดว่าฉันมีความผิดฐานปกปิดการทำการทุจริต ของผู้จัดการสำนักงานและเจ้าหน้าที่การเงิน
และในวันนั้นทั้งผู้จัดการสำนักงานและเจ้าหน้าที่ทางการเงินคนเดิมก็ยอมรับสารภาพเจ้าทางเจ้าหน้าที่บริษัทที่เข้ามาสอบปากคำ ทุกอย่างและได้ทำการแจ้งรายชื่อและยอดเงินที่ได้ทำการทุจริตกับทางบริษัท ซึ่งเป็นจำนวนทั้วหมด 52 ราย ยอดเงินประมาณ 2,500,000 บาท และทางบริษัทก็ให้เซ็นต์ยอมรับสภาพหนี้ ทั้งสองได้เซ็นต์ชื่อเรียบร้อยและถูกปลดจากการเป็นพนักงาน ส่วนตัวดิฉันเองทางบริษัทยังคงให้ทำงานอยู่จนถึงสิ้นปี 2551 และพ้นสภพในต้นปี 2552
ดิฉันคิดว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่แบบที่ฉันคิด เวลาผ่านไปอีก 2 เดือนทาง สภอ.ส่งหมายนัดเรียกตัวมาที่บ้าน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ปลอมแปลงดอกสารและใช้เอกสารปลอม จึงไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ และได้ให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งในข้อหานี้พบว่ามีผู้เสียหาย 18 รายเป็นเงิน 280,000 บาท ฉันจึงสอบถามไปทางผู้ดการสำนักงานว่าเกิดอะไรขึ้น ยังมีรายที่ทางผู้จัดการสำนักงานยังไม่ได้แจ้งอีกหรือ ทางผู้จัดการสำนักงานจึงบอกว่าใช่ เขายังแจ้งไม่หมดเหลืออีก 18 ราย ซึ่งเป็นรายที่เกิดขึ้นระหว่างที่ฉันรับตำแหน่ง ฉันเสียใจมากที่เจอเรื่องแบบนี้อีก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ฉันจึงไปรายงานตามหมายนัดตลอดเวลา และ ณ วันนี้ทางอัยการได้แจ้งว่า สำนวนพร้อมที่จะสั่งฟ้องแล้ว
ดิฉันควรทำอย่างไรคะ เมื่ออัยการสั่งฟ้อง
1.ข้อหาที่สั่งฟ้องคือ "ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ปลอมแปลงเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม
2.ผู้เสียหายทั้งหมด 18 รายเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 280,000 บาท
3.หากจะขอประกันตัว จะต้องใช้หลักทรัพย์ ในการประกันตัวเท่าไหร่คะ
4.ดิฉันควรทำอย่างไรบ้างในวันที่อัยการสั่งฟ้อง
ขอบพระคุณท่านมีชัยและทีมงานของท่านทุกคนเลยนะคะ ที่รับฟังและคอยตอบปัญญาของดิฉัน และทุกๆคน ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบปัญญาในชีวิต เหมือนอย่างเช่นดิฉันและอีกหลายท่านเป็น
ในความดีและมีน้ำใจของทุกๆท่าน ขอให้พระเจ้าอวยพร ให้ทุกท่านได้รับสันติสุข
ขอให้พระเจ้าสถิตย์กับทุกท่านนะคะ
พระเจ้าอวยพรค่ะ
Lita |