ท่านเห็นจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องความรู้สึกของผมที่มีต่อท่าน เพราะตั้งแต่ได้รู้จักท่านมา แม้จะไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว แต่ก็มีแต่ความนับถือในความรู้ความสามารถ และความกล้าที่จะเดินหน้าในสิ่งที่ท่านเห็นว่าถูก ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด เวลาท่านมีปัญหาอุปสรรคใด ๆ ก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่เสมอ สำหรับเรื่องความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น ในฐานะที่เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ก็พอจะชี้แจงได้ดังนี้
1. ที่ว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ นั้น เห็นจะเข้าใจผิด เพราะคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นองค์กรไม่ใช่เป็นของใคร นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นเพียงหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีถึง ๑๒๐ ท่าน เวลาเขาทำงานเขาก็ทำกันเป็นคณะ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง
2. ในเวลาที่คณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐนั้น จะต้องเป็นไปตามคำขอของหน่วยงานนั้น ๆ บางครั้งเมื่อหน่วยงานนั้นขอมาแล้ว เกิดเปลี่ยนใจ ขอถอนเรื่อง คณะกรรมการกฤษฎีกาก็จะส่งเรื่องคืน แต่คนที่ขอถอนเรื่องนั้นต้องเป็นคนที่มีอำนาจในการขอถอนเรื่อง ไม่ใช่หน่วยงานมีหนังสือมาถามแล้ว ใคร ๆ ก็ขอถอนเรื่องได้
3. สำหรับเรื่องที่หารือมายังคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น เดิมที เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ (ก่อนที่คุณหญิงท่านจะมีอายุครบ ๖๕ )คุณหญิงท่านมีหนังสือไปถึงนายกรัฐมนตรีขอให้นายกรัฐมนตรีนำเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีมติให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งของท่าน
ต่อมาวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ (หลังจากคุณหญิงมีอายุ
ครบ ๖๕ ปีแล้ว) นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ในฐานะองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้มีหนังสือหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอให้ตีความปัญหาเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณ) ซึ่งเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) พิจารณาแล้ว ก็สอบถามว่าประสงค์จะให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้จริงหรือ เพราะถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยตรงตามที่ สตง.คิดไว้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ตรงกัน การทำงานต่อไปของ สตง.ก็จะลำบากใจ เพราะแม้ว่าความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาจะไม่เป็นที่สุด แต่เมื่อรู้ความเห็นนั้นแล้ว การจะทำอะไรต่อไปที่ไม่ตรงกับความเห็นนั้น ก็จะเป็นปัญหาได้ ขอให้กลับไปคิดดูให้ดี หากยังอยากให้ตีความต่อไปก็ยืนยันมา ถ้าเปลี่ยนใจก็ให้ถอนเรื่องคืนไป ซึ่งต่อมาวันที่ ๒๒ กรกฎาคม สตง.ก็มีหนังสือลงนามโดยนายพิศิษฐ์ รองผู้ว่าการฯ รักษาราชการแทนผู้ว่าการฯ ยืนยันให้ตีความต่อไป ในเวลาต่อมาคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับหนังสือลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม (หลังจากคุณหญิงท่านอายุครบ ๖๕ ปีแล้ว) ลงนามโดยคุณหญิงจารุวรรณ โดยมีตำแหน่งต่อท้ายว่าปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการฯ ขอถอนเรื่องหารือดังกล่าวคืน
ปัญหาจึงมีว่าจะถือหนังสือของใครเป็นหลัก ถ้าถือหนังสือของคุณหญิงท่านเป็นหลักก็เท่ากับยอมรับว่าท่านยังอยู่ในตำแหน่ง คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงตกลงกันว่า ถ้าอย่างนั้นก็พิจารณากันเสียก่อนว่า คุณหญิงท่านยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้าเห็นว่าท่านยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไป ก็ต้องถือเอาหนังสือของท่านเป็นสำคัญ คณะกรรมการกฤษฎีกาก็จะได้ส่งเรื่องคืนไปโดยไม่แจ้งคำวินิจฉัย แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าท่านพ้นไปแล้ว หนังสือของท่านก็ไม่อาจผูกพันสำนักงาน สตง.เพราะท่านกลายเป็นคนนอกไปแล้ว ในกรณีนั้นก็ต้องถือเอาหนังสือของนายพิสิษฐ์ ที่ยืนยันให้วินิจฉัยต่อไป เป็นหลัก ซึ่งผลของการพิจารณาและตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็เป็นดังที่รู้ ๆ กันทั่วไปแล้ว โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหนังสือเรียนให้คุณหญิงท่านทราบเหตุผลโดยตรงด้วยแล้ว
4. อนึ่ง ตามข่าวที่ปรากฏในสื่อมวลชน รายงานว่าคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นว่าจะต้องมีการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่า สตง.ภายใน ๙๐ วันตามประกาศ คปค.ฉบับที่ ๒๙ นั้น ทำไมนายมีชัยซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช) ที่ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาในสมัยนั้นถึงไม่ดำเนินการสรรหา" ด้วยความเคารพที่ท่านเป็น "ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภา" ผมก็ไม่อาจต่อล้อต่อเถียงอะไรกับท่านได้ ได้แต่จะเรียนให้ทราบว่า ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ ๒๙ นั้น ได้กำหนดให้คุณหญิงท่านอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ และเมื่อครบแล้วก็ให้ดำเนินการสรรหาเสียภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่ท่านพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นก่อนวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ จึงยังไม่อาจสรรหาได้ เพราะคุณหญิงท่านยังไม่พ้นจากตำแหน่ง แต่ต่อมาวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ (ก่อน ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐) ได้มีประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๑ ว่า "ให้ดำเนินการสรรหาคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๑๒๐ วันนับแต่วันที่มีการแต่งตั้ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นทั่วไปครั้งแรกฯ" บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจึงย่อมใหญ่กว่า ประกาศ คปค. กว่าจะมีประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้นำฝ่ายค้าน ผมก็พ้นจากตำแหน่งไปนานแล้ว เป็นบุญของผมที่ได้อ่านทั้ง ประกาศ คปค.ฉบับที่ ๒๙ และรัฐธรรมนูญประกอบกันด้วย จึงรอดตัวมาได้ ถ้าอ่านแต่เพียง ประกาศ คปค.ฉบับที่ ๒๙ ฉบับเดียว ท่าน สว.ท่านคงเล่นงานผมถึงตาย
ผมตอบคำถามนี้ด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจจะกระทบคุณหญิงท่านได้ ครั้นจะไม่ตอบก็จะทำให้เกิดการใจผิด ใครจะเข้าใจผิดอย่างไรก็ไม่สำคัญ ผมกลัวแต่คุณหญิงท่านจะเข้าใจผมผิด เพราะผมยังนับถือและห่วงใยท่านอยู่
มีชัย ฤชุพันธุ์ 10 สิงหาคม 2553 |