เรียน อาจารย์มีชัย ที่เคารพ
มีเรื่องการซื้อาขยรถอยากเรียนถามดังนี้ เมื่อประมาณปีที่แล้วได้ขายรถออกไป 1 คัน โดยที่ยังผ่อนไม่หมด ยังมีหนี้ค้างอยู่ ปรากฎว่าบริษัทรถแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์ จึงตกลงยอมความกันว่าในส่วนที่เหลือที่คงค้างให้เป็นการเซ็นต์สัญญากู้ยืมเงินและคิดดอก ยอดเงินทั้งหมดสองแสนกว่าบาท โดยแบ่งชำระเป็นงวด งวดละสองหมื่นกว่าบาท (สัญญาของรถคันนี้ได้เซ็นต์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 53)
และเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 53 ได้ทำการฝากขายรถไว้กับบริษัทฯแห่งเดิม โดยในใบระบุฝากขายนั้นไม่ได้แจ้งว่าจะคิดค่าเช่าจอดฝากขาย ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าจะคิดค่าคอมมิชชั่น ต่อมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีผู้ต้องการซื้อรถติดต่อเข้ามาและตกลงซื้อขายกันในราคาที่ได้กำหนดไว้ และผู้ขอซื้อได้จ่ายเงินมาเรียบร้อยแล้วโดยมีบริษัทนี้เป็นตัวกลางรับเงิน ซึ่งในสัญญาซื้อขายนั้น ระบุว่า ยอดขายเท่านี้ หักจำนวนงวดที่งค้างออก จะเหลือรับเงินเก้าแสนห้าเศษ แล้วพอวันรุ่งขึ้นนัดรับเช็คคิดว่าน่าจะได้รับในจำนวนเงินที่เหลือหลังการหักค่งวดคงค้างตามยอดสามแสนกว่าบาทที่แจ้งไว้ในใบซื้อขาย และยอดที่ได้รับสุทธิคือเก้าแสนห้าเศษปรากฎว่า เจ้าของบริษัทแห่งนี้ ได้ทำการคิดค่าเข่าจอดรถตามจำนวนเดือนที่จอดฝากขาย (ในใบฝากไม่ได้ระบุไว้ และคิดค่าคอมมิชชั่น 3%(ในรายละเอียดใบฝากขายก็ไม่ได้ระบุเช่นกัน) และได้บอกว่าขอยอกเลิกสัญญากู้ยืมเงินของรถคันแรก โดยบอกว่าฉบับนั้นไม่เอาแล้ว ขอหักเงินของรถคันแรกออกไปด้วยพร้อมทั้งคิดดอกทั้งปี ทั้งๆที่เราผ่อนมาได้ 4 งวด และคิดค่าเสียเวลาไปอีกเป็นหมื่นๆ ในความเป็นจริงแล้ว รถสองคันนี้มันคนละสัญญากัน มันไม่น่าจะมาหักลบรวมกันได้ หรือพอเห็นเราขายรถได้ก็เกิดอยากจะได้เงินก็เลยยกเลิกสัญญาของคันแรกและมาหักหนี้เราจากคันที่สอง ทำอะไรแบบชาวบ้าน ชาวบ้าน ไม่ได้มีจรรยาบรรณของนักธุรกิจเลย ซึ่งมันเป็นการหักคอหรือไม่ซื่อสำหรับคนที่ทำธุรกิจเช่นนี้ สรุปแล้วยอดเงินที่รับเช็คเหลือแค่ห้าแสน
จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า เราฟ้องคดีแพ่งและสามารถเล่นงานบริษัทแห่งนี้ในคดีอาญาด้วยได้หรือไม่ เหตุการณ์แบบนี้เข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ หรืออย่างไร รบกวนอาจารย์ตอบให้ทราบด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง