ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    039773 การแก้ไขพรบ.คณะสงฆ์และร่างพรบ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาเกษวดี กุหลาบแก้ว2 เมษายน 2553

    คำถาม
    การแก้ไขพรบ.คณะสงฆ์และร่างพรบ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา

    เรียนอ.มีชัย ฤชุพันธ์ ที่เคารพ

    เนื่องจากเมื่อราวปลายเดือนมีนาคม ดิฉันได้ทำหนังสือขอเข้าพบอาจารย์เพื่อสัมภาษณ์ขอข้อมูลไปใช้ในการทำวิทยานิพนธ์ โดยประสานผ่านทางคุณแอนไปแล้ว แต่น่าเสียดายว่า อาจารย์ติดภารกิจ และดิฉันก็ต้องเดินทางกลับต่างประเทศเสียก่อน จึงต้องขอเรียนถาม มาในที่นี้ หากคำถามใดอาจารย์เห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะตอบในที่นี้ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยส่งคำตอบไปที่อีเมล์แอดเดรสของดิฉันโดยตรง ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ

    ๑. เมื่อปี ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นช่วงที่มีความขัดแย้งกรณีวัดพระธรรมกายสูง ทาง กมธ.ศาสนาของสภาผู้แทนราษฏรได้พยายามเสนอร่างกฏหมายอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาร่างแรกออกมา โดยมีเนื้อหากำหนดหน้าที่ตามกฏหมายที่ชาวพุทธต้องปฏิบัติ (เช่น ต้องปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ,ต้องทำบุญบริจาค) ซึ่งอาจารย์ได้แสดงความเห็นคัดค้าน ในที่ประชุมสัมมนาแห่งหนึ่ง ว่าถ้าร่างกฏหมายนี้ออกมาบังคับใช้จริง จะลาออกจากการเป็นพุทธมามกะ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายความเห็นของอาจารย์ในเรื่องนี้โดยละเอียดด้วยค่ะ เพราะในเนื้อข่าวของยุคนั้นลงเหตุผลของอาจารย์ไว้เพียงสั้นๆ อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจนัก

    ๒. เนื่องจากอาจารย์ได้เป็นผู้มีส่วนร่วมในการแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ ฉบับแก้ไขปี ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขในเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชโดยเฉพาะ จึงอยากทราบว่า การแก้ไขนี้ เป็นพระดำริของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันจริงหรือไม่ (เนื่องจากภายหลังกลายเป็นประเด็นถกเถียงกัน โดยกลุ่มผู้คัดค้านการตั้งสมเด็จพระสังฆราชจากผู้มีสมณศักดิ์สูงสุด กล่าวหาว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นผู้ทำการแก้ไขกฏหมายไว้ในปี ๒๕๓๕ เพื่อประโยชน์ของตนเอง)

    ๓. ในกระบวนการร่าง พรบ. คณะสงฆ์ ฉบับใหม่โดยมหาเถรสมาคม เมื่อปี ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นฉบับที่มีเรื่องของมหาคณิสสรเขียนไว้ด้วย ตัวอาจารย์เอง และอาจารย์วิษณุ เครืองาม ได้มีส่วนร่วมในการร่างหรือให้คำแนะนำแก่คณะสงฆ์อย่างไร

    ๔. จากบทความเรื่อง "เหรียญสองด้านพระราชบัญญัติคณะสงฆ์" ที่ลงในเว็บไซต์ของอาจารย์ และลงในไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๕ พ.ค. ๒๕๔๕ อาจารย์เห็นว่า กลุ่มพระป่าที่ออกมาคัดค้านร่าง พรบ.สงฆ์ฉบับมหาเถรสมาคมอย่างรุนแรงว่าผิดธรรมวินัยนั้น เกิดจากความไม่เข้าใจกฏหมาย และมีความเข้าใจผิดจากการเล่าลือต่อๆกันมา ใช่หรือไม่

    ขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

    เกษวดี กุหลาบแก้ว

    นักศึกษาปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะ ญี่ปุ่น

    katecristal@yahoo.com

    คำตอบ

    เรียน คุณเกษวดี

    1. ผมไม่มีร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในมือในขณะนี้ แต่เท่าที่จำได้ตามร่างกฎหมายดังกล่าว ผู้ร่างประสงค์จะส่งเสริมและคุ้มครองศาสนาพุทธ ด้วยวิธีการที่กำหนดหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน ที่จะต้องปฏิบัติตนในระหว่างการนับถือศาสนาพุทธ ในหลายเรื่องหลายประการ ทั้งในเรื่องของการประพฤติตนในชีวิตประจำวัน และการปฏิบัติตนต่อศาสนาพุทธ  ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการขัดกับหลักการใหญ่ของการเป็นศาสนา และโดยเฉพาะศาสนาพุทธ แล้วก็จะเลยไปละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เนื่องจากศาสนานั้นเป็นเรื่องของความศรัทธา และความสมัครใจ  ในส่วนของศาสนาพุทธเองก็มีหลักการสำคัญในการที่บุคคลจะกระตุ้นและควบคุมตนเองเพื่อให้อยู่ในกรอบของหลักศาสนา เป็นการเอาชนะใจของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะบังคับ  การออกกฎหมายมาบังคับนอกจากจะไม่เป็นผลในทางการส่งเสริมหรือคุ้มครองพระพุทธศาสนาแล้ว ยังจะทำให้คนหนีออกจากการยอมรับว่าตนเป็นพุทธศาสนิกชน  เพราะเป็นทางเดียวที่จะไม่ถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดได้  ที่ผมบอกว่าถ้ากฎหมายนี้ออกมาผมจะลาออกจากความเป็นพุทธมามกะ นั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ผลของกฎหมายจะเป็นอย่างไร  เพราะเมื่อผมไม่ได้พุทธศาสนิกชนแล้ว ผมก็ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ส่วนผมพบพระจะยกมือไหวหรือไม่ จะทำบุญตักบาตรหรือไม่ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผม กฎหมายบังคับผมไม่ได้ เพราะร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ห้ามคนที่ไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชน ใส่บาตรหรือทำบุญ ถ้ามีร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในมือก็อาจชี้ให้เห็นจุดต่าง ๆ ได้มากกว่านี้

    2. ในขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี วันหนึ่งได้รับติดต่อจากเลขานุการของสมเด็จพระสังฆราชให้ไปเข้าเฝ้า เมื่อไปเข้าเฝ้า ท่านก็เล่าว่าคณะสงฆ์ได้มีการศึกษาผลดีผลเสียของกฎหมายคณะสงฆ์ที่ใช้อยู่ในขณะนั้นแล้ว เห็นว่ามีความจำเป็นต้องแก้ไขในเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และขอความร่วมมือขอให้รัฐบาลเป็นธุระดำเนินการให้ โดยทางมหาเถรสมาคมจะมีคณะทำงานเพื่อทำการศึกษาและยกร่างกฎหมายดังกล่าว และขอให้ผมช่วยในการยกร่างด้วย ซึ่งผมก็ยินดี เพราะเมื่อเป็นความประสงค์ของคณะสงฆ์ทางรัฐบาลก็ไม่มีอะไรขัดข้อง นั่นคือที่มาของการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ในปี ๒๕๓๕  

    3. สำหรับร่างกฎหมายคณะสงฆ์ในปี ๒๕๔๕ ผมและอาจารย์วิษณุมีส่วนช่วยในการยกร่าง แต่ไม่ได้มีส่วนเสนอความคิดเห็นในสาระสำคัญของร่าง  การจัดทำร่างในครั้งนั้นจะมีคณะ ๒ คณะ คือคณะทำงานที่มหาเถรสมาคมตั้งขึ้น ประกอบด้วยพระเถรานุเถระผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด ดูเหมือนจะไม่มีคฤหัสถ์เลย  กับอีกคณะหนึ่งเป็นคณะที่ยกร่างกฎหมายซึ่งมีผมกับอาจารย์วิษณุอยู่ด้วย  ในการทำงานนั้นคณะทำงานที่ประกอบด้วยพระภิกษุจะเป็นผู้พิจารณาศึกษาว่าจะแก้ไขเรื่องอะไร แก้ไขให้เป็นอย่างไร โดยประสงค์จะให้เกิดผลอย่างไร  เมื่อได้ข้อยุติ ก็จะเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณา  เมื่อมหาเถรสมาคมให้ความเห็นชอบแล้วคณะทำงานก็จะส่งสาระสำคัญนั้นให้คณะผู้ยกร่างกฎหมายนำไปร่างเป็นกฎหมายเพื่อให้เกิดผลตามความประสงค์  การที่ต้องแยกเป็นสองส่วนในการจัดทำร่างกฎหมาย ก็เพราะเรื่องนี้เป็นกิจการของสงฆ์โดยเฉพาะ ฝ่ายบ้านเมืองหรือคนนอกยากที่จะเข้าใจหรือรู้ถึงปัญหาอุปสรรคได้  จึงต้องปล่อยให้พระท่านคิดกันเอง ส่วนฝ่ายบ้านเมืองหรือคนนอก ก็เป็นแต่เพียงสนับสนุน  หากมีข้อที่เห็นว่าจะไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ หรือผลจะเกิดไปในอีกทิศทางหนึ่งในทางลบ ก็ได้แต่จะเรียนให้ท่านทราบ ซึ่งส่วนใหญ่ท่านก็จะนำกลับไปปรึกษาหารือกันใหม่   เมื่อยกร่างเสร็จแล้วได้มีการเสนอไปยังรัฐบาล และรัฐบาลส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ซึ่งผมเข้าไปเกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง เพราะถูกส่งไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ผมเป็นประธาน  ในการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นั้น ตามปกติเมื่อเห็นควรอย่างไรคณะกรรมการกฤษฎีกาก็จะอธิบายให้ผู้แทนของหน่วยงานทราบและดำเนินการแก้ไขไปตามที่เห็นสมควร  แต่สำหรับกับการพิจารณาร่างกฎหมายคณะสงฆ์นั้นจะถือหลักที่เคร่งครัด คือจะไม่แตะต้องสาระสำคัญของร่างนั้น เว้นแต่จะเห็นว่าจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตได้ หรือมีแนวทางที่คิดว่าน่าจะดีกว่า แต่คณะกรรมการก็จะไม่แก้ไขเอง แต่เสนอแนะต่อผู้แทนของมหาเถรสมาคม (ซึ่งเป็นพระภิกษุ)  ในทุกเรื่องแม้ผู้แทนของมหาเถรสมาคมจะเห็นด้วย แต่ก็จะนำกลับไปเสนอต่อมหาเถรสมาคมก่อนเสมอ เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นดีเห็นงามด้วยจึงจะนำกลับมาบอกคณะกรรมการเพื่อให้แก้ไขต่อไป   จึงอาจกล่าวได้ว่าการแก้ไขร่างในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก หรือแม้แต่ภาษาที่ใช้ในบางแห่ง จะผ่านความเห็นดีเห็นงามจากมหาเถรสมาคมทั้งสิ้น

    4. ผู้ที่ต่อต้านอาจเป็นด้วยไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในการบริหารกิจการสงฆ์ในรูปแบบใหม่ หรือไม่ทราบข้อเท็จจริงก็ได้ แต่เท่าที่สังเกตดูจากข้อวิจารณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นในประการหลังมากกว่า คือ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของร่างกฎหมายดังกล่าว  หรือมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไปเข้าใจเอาว่าเป็นการแอบทำกันโดยมหาเถรสมาคมและพระสงฆ์ในแวดวงวิชาการไม่ทราบเรื่อง ซึ่งเป็นข้อมูลหรือความเข้าใจที่ผิด  เพราะสาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวเกิดจากการระดมความคิดของพระภิกษูผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิชาการและมีวัตรปฏิบัติเป็นที่ยอมรับนับถือของศาสนิกชนส่วนใหญ่  มีการประชุมระดมความคิดในหลายขั้นหลายตอน ใช้เวลานานพอสมควร ผ่านมหาเถรสมาคมหลายครั้ง และการแก้ไขนั้นเป็นความประสงค์ของมหาเถรสมาคมโดยตรง ทางบ้านเมืองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และก็ไม่ใช่เป็นความดำริของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์แต่อย่างใด

    เหตุการณ์เกี่ยวกับร่างกฎหมายคณะสงฆ์นี้ เป็นเครื่องบ่งชี้อีกอย่างหนึ่งว่า แม้ศาสนาพุทธจะมีหลักที่ดีงามเกี่ยวกับการเชื่อซึ่งวางหลักไว้ในกาลามสูตร แต่เอาเข้าจริงชาวพุทธก็มิได้ยึดหลักหรือใช้ประโยชน์จากสูตรดังกล่าวเท่าที่ควรเลย  เพราะถ้าศึกษากันจริง ๆ ก็จะได้ความตามที่เล่ามาข้างต้น

       หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์แก่คุณตามสมควร


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    2 เมษายน 2553