ทำไมคำตัดสินของผู้พิพากษาไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ฟ้องผิดสัญญาเหมือนกัน
เรียน ท่านอาจารย์มีชัย
เมื่อวานนี้ (15 มี.ค. 53) ผมได้ไปฟังคำพิพากษาของคดีที่ผมฟ้องร้องกับทางบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการที่ผมได้ซื้อไว้ที่ศาลแพ่ง ธนบุรี (เพราะกรณีของผมมีทุนทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์ที่พิพาทเกิน 300,000 บาท)
ทางผู้พิพากษาได้ตัดสินว่าทางผมชนะคดี ทางบริษัทเป็นผู้ผิดสัญญา จะต้องชดใช้ค่าเงินดาว์นที่ผมจ่ายไป แล้วก็ค่าประกันไฟฟ้า มิเตอร์น้ำ รวมเป็นเงิน 207,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15% ต่อปี ตรงนี้ผมไม่สงสัยอะไร
แต่ทางผู้พิพากษาให้หักเงินค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 18 เดือน คือเป็นเงิน 90,000 กว่าบาทครับ (ประเด็นนี้ผมสงสัยมาก เพราะว่าผมเป็นคนซื้อไม่ได้จะมาเช่าคอนโด แต่ทำไมผู้พิพากษาจะต้องมาหักเงินผมด้วย เพราะห้องผมไม่ได้เอาเฟอร์นิเจอร์จากทางโครงการฯเลย ถ้าเป็นแบบนี้ผมไปเช่าอยู่ดีกว่าครับ 5,000 บาทมีเฟอร์นิเจอร์ครบด้วย)
ส่วนอีกประเด็นคือเรื่องเฟอร์นิเจอร์ในห้องที่เป็นห้องพิพาท ผมได้ทำการ build-in เฟอร์นิเจอร์ มีการปรับเปลี่ยนทางเข้าห้องน้ำให้ไปเข้าทางห้องครัวแทน (ตามหลักฮวงจุ้ยครับ) ทางผู้พิพากษาเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์นี้เป็นของทางผมให้ผมดำเนินการปรับเปลี่ยนให้เป็นในสภาพเดิม ประเด็นนี้ผมเข้าใจ ต้องเป็นหน้าที่ของผมต้องดำเนินการ
ส่วนอีกประเด็นที่ผมสงสัยเป็นอย่างมาก คือว่าผมมีเพื่อน ๆ ที่ซื้อโครงการนี้ ได้ดำเนินการฟ้องร้องกับบริษัทที่ขายคอนโดฯ ทางเพื่อนผมมีกำหนดฟังคำพิพากษาวันนี (16 มี.ค. 53) ที่ศาลแขวงธนบุรี แต่คำพิพากษาออกมาว่า ทางเพื่อนผมชนะคดีได้เงินที่จ่ายเงินดาว์นคืนหมด ได้รับดอกเบี้ยอีก 7.5% ต่อปี แต่ทางผู้พิพากษาที่ศาลแขวงธนบุรีไม่มีการหักค่าเช่าเลย ได้รับเงินคืนเต็ม ๆ รวมทั้งดอกเบี้ย แล้วได้ค่าฤชาธรรมเนียมด้วยอีก 5,000 บาท ผมสงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมฟ้องร้องกรณีเดียวกันคือผิดสัญญา เพื่อเรียกร้องเอาเงินดาว์นคืน พร้อมดอกเบี้ย แต่ทำไมไม่โดนหักค่าเช่า ส่วนของกรณีของผมโดยหักค่าเช่า (จ้างทนายคนเดียวกันนะครับ หลักฐานก็เหมือนกัน)
เรียนถามท่านอาจารย์มีชัยว่า แบบนี้กรณีของผมนี้สามารถฟ้องอุทรณ์เพื่อให้ได้ค่าเช่าที่โดนหักคืนได้ไหมครับ? แล้วเอาคำพิพากษาของกรณีเพื่อนผมไปประกอบด้วยได้ไหมครับ? แล้วแบบนี้มีโอกาสที่จะชนะคดีไหมครับ ในการยื่นฟ้องอุทรณ์ ใช้เวลานานไหมครับกว่าจะพิพากษาในขั้นศาลอุทรณ์ครับ
เหมือนกับว่าทำไมตัดสินไม่เหมือนกันน่ะครับ น่าจะเป็นมาตรฐานเดียวกันคือถ้าไม่หักค่าเช่าก็ต้องไม่หักทั้งคู่ หรือไม่ก็ถ้าจะหักค่าเช่าก็น่าจะหักทั้งคู่ แต่แบบนี้ออกมาคดีหนึ่งหักค่าเช่า อีกคดีไม่หักค่าเช่า แบบนี้มันไม่ค่อยยุติธรรมสำหรับผู้บริโภคเท่าไหร่น่ะครับ |