ว่าด้วยเรื่อง กฏหมายอาญา
เรียน อาจารย์ มีชัย
ผมเป็น เจ้าของร้าน โทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่ง ที่มาบุญครอง
ผมได้ประกอบการมาประมาณ 2 ปี ซึ่งต่อมา ผมได้มอบสินค้า
รวมทั้งสิ่งของทุกอย่าง เอาไว้ให้ลูกน้อง ผู้ซึ่งดูแลร้านนี้อยู่แล้ว
เป็นผู้รับช่วงต่อ โดย เอกสารที่ทำกันไว้ มีเพียง ใบส่งของ ที่มี
รายละเอียดสินค้า ณ.วันสุดท้ายที่ผมจะเป็นเจ้าของ โดยมีมูลค่า
ของสินค้า รวม 140,000 บาท เขียนเอาไว้ใน เอกสาร โดยมีข้อตกลง
เป็นวาจา เอาไว้ว่า สินค้าที่เหลืออยู่ในร้าน จะผ่อนคืนมาให้รายเดือน เดือนละ
1 หมื่นบาท
ต่อมา ลูกน้องของผมคนนี้ (ชื่อว่านายหนุ่ม) ได้ทำกิจการต่อมาประมาณ 3 เดือน
และได้ โอนเงินมา บ้าง ไม่โอนบ้าง และยังชำระไม่ครบ ได้หลบหนีหายไปจาก
ร้าน โดยปิดร้าน พร้อมทั้ง เอาสินค้าทั้งหมด หลบหนีไป ผมคิดว่าหมดหวังแล้ว
จึงไม่ได้แจ้งความเอาไว้
1 ปีต่อมา ผมได้พบกับนายหนุ่ม โดยบังเอิญ และได้เรียกให้มานั่งคุย และผมได้
เอ่ยปาก เรียกนายหนุ่ม ให้ไปตกลงที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งเป็น สน.ท้องที่ของมาบุญครอง ร้อยเวร ผู้เข้าเวรอยู่ ได้แจ้งให้ผมไป ฟ้องร้องทางแพ่ง ซึ่งต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก
ในขณะเดียวกันนายหนุ่มอาจหลบหนีไปได้อีก
ผมจึงตั้งคำถามกับตำรวจไปว่า ถ้าผมไปซื้อทอง โดยผมตกลงกับเจ้าของร้านว่า
ผมจะไปกด ATM เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าทอง ขณะเดียวกัน ผมหยิบทองแล้ววิ่งหนี
ออกไปจากร้านเลย พอตำรวจจับได้ ผมบอกทันทีเลยว่าให้เจ้าของร้านทองไป
ฟ้องร้อง เนื่องจากเป็น ความผิดทำแพ่ง ผมก็ย่อมจะทำได้ และในระหว่างนั้น
ผมอาจจะหลบหนีไปอยู่ยังที่ๆ ไม่มีใครพบ
ซึ่งลักษณะแบบนี้ เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้วครั้งนึงในอดีต
ผมได้ตกลงซื้อ แอร์ กับ ช่างแอร์ แล้วช่างแอร์ไม่เอาแอร์มาส่งผม
พร้อมทั้งปิดมือถือ หายตัวไป พอไปแจ้งตำรวจ ทั้งๆที่ผมรู้จักบ้านของช่างแอร์
ตำรวจบอกให้ผมไปฟ้องศาล เพราะเป็นคดีทางแพ่ง
ผมขอเรียนอาจารย์ว่า ถ้าตำรวจพูดถูก ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นจุดอ่อนยิ่งใหญ่ของกฏหมาย อาญา เพราะเราไม่สามารถทำการใดๆกับผู้กระทำผิดได้เลย
ผมรู้สึกท้อแท้กับกฏหมายไทยเป็นอย่างมาก ตอนนี้คงจะพึ่งได้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว ตำรวจเห็นคนร้ายต่อหน้าต่อตา กับ ทำอะไรไม่ได้เลย |