เมื่อวันที่ 11 ธ.ค 2551 แม่ดิฉันเดินทางไปวางมัดจำที่ดินจำนวน 200,000 บาท ที่จังหวัดกบิลบุรี โดยก่อนหน้านั้นมีการเดินทางไปดูที่ดินแล้ว มีการยืนยันจากเจ้าของที่ดินว่าไม่ใช้ที่ดิน สปก. แน่นอน เพราะแม่ดินฉันบอกตอนแรกแล้วว่าไม่เอาที่ดินสปก. และในวันที่ 11 ธ.ค 2551 เจ้าของที่ดินและสามีเอาใบ ภบท.5 (ถ่ายเอกสาร) โดยอ้างว่าตัวจริงหาย แต่เดี๋ยวจะไปขอคัดที่ อบต. มาให้ ด้วยความที่สามีเจ้าของที่ดินเป็นกำนัน แม่ดิฉันจึงหลงเชื่อ ในหนังสือสัญญามีตกลงกันไว้ว่าจะมาโอนที่ดินและวางเงินที่เหลือในวันที่ 30 พ.ค 2552 แต่พอถึงวันที่ 30 พ.ค 2552 เป็นวันเสาร์พอดี จึงเลื่อนนัดมาเป็นวันที่ 1 มิ.ย 2552 ซึ่งเป็นวันจันทร์ ดิฉันและแม่ก็เดินทางมาถึง แต่ปรากฏว่าเจ้าของที่ดินกับที่ดินข้างเคียงมีปัญหากันเรื่องเขตแดนตกลงกันไม่ลงตัว จึงได้ทำการนัดเจ้าหน้าที่ดินว่าวัดเขตแดนกัน และนัดดิฉันมาใหม่ในวันที่ 5 มิ.ย 2552 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับเจ้าหน้าที่มาวัดเขตแดน และดิฉันกับแม่ก็เดินทางมาตามนัด ปรากฏว่ามาเจอเจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าหน้าบอกว่าที่ดินตรงนี้เป็นที่ดิน สปก. ไม่สามารถ ขายได้ ดิฉันจึงไม่วางเงินที่เหลือ และขอเงินมัดจำคืน แต่ทางเจ้าของที่ดินและสามียังยืนกรานว่าโอนได้ ดิฉันจึงไปแจ้งความข้อหาฉ้อโกงมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ โดยตั้งแต่แรกอ้างว่าเป็นที่ดินที่เป็น ภบท.5 มีเจตนาหลอกลวง ทั้ง ๆ ที่สามีของเจ้าที่ดินเป็นถึงกำนัน ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐคนหนึ่งเหมือนกัน ไปแจ้งความในวันที่เกิดเหตุเลย คือวันที่ 5 มิ.ย 2552 ที่สถานีตำรวจกบิลบุรี ร้อยเวรให้ดิฉันไม่ไกล่เกลี่ยกันวันที่ 9 มิ.ย 2552 แต่คู่กรณีไม่ได้เดินทางมา ร้อยเวรจึงจะส่งสำนวนฟ้องให้
เรื่องที่ดินฉันจะรบกวนถามอาจารย์คือ
1. โอกาสที่ดิฉันจะได้เงิน 200,000 บาท ที่วางมัดจำคืนมีมากน้อยเพียงใด
2. ถ้าส่งฟ้องแล้วดิฉันแพ้คดี ดิฉันสามารถส่งฟ้องต่อได้อีกไหม มีวิธีดำเนินการอย่างไร
3. โอกาสที่ดิฉินจะชนะคดีมีมากน้อยเพียงใด กรุณาอธิบายรายละเอียดด้วยค่ะ จะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องกฏหมาย
1. ตอบไม่ได้หรอก นอกจากจะเดา ๆ เอา เพราะแม้คุณจะชนะคดี ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะได้รับเงินคืน เพราะถ้าเขาไม่มีเงินมาคืนและไม่มีทรัพย์สินให้ยึด คุณก็ยังไม่ได้เงินคืนอยู่ดีแหละ
2. ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันก็ฟ้องอีกไม่ได้ ได้แต่จะอุทธรณ์ฎีกากันต่อไป
3. เดาไม่ถูกหรอก เพราะการเป็นคดีความนั้นจะชนะหรือแพ้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง นอกจากเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแล้วยังขึ้นอยู่กับวิธีการดำเนินคดีในศาลของทนายความด้วย อนึ่ง ตามเท็จจริงที่คุณบอกว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดิน ภบท.๕ จึงซื้อนั้น แสดงให้เห็นว่าคุณเองยังเข้าใจผิดในสถานะของใบ ภบท.๕ อยู่มาก เพราะใบ ภบท.๕ เป็นเพียงใบเสร็จรับเงินที่แสดงว่ามีคนไปเสียภาษีบำรุงท้องที่เท่านั้น ส่วนเขาจะเป็นเจ้าของที่ดินหรือมีสิทธิในที่ดินหรือไม่ ไม่เกี่ยวกัน ฐานะของตัวใบ ภบท.๕ น่ะแย่กว่า สปก.เป็นไหน ๆ เพราะ สปก.นั้นอย่างน้อยยังแสดงว่าที่ดินนั้นเป็นของรัฐแต่ได้อนุญาตให้ผู้มีชื่อใน สปก.ทำกินไปจนตลอดชีวิต และตกทอดต่อทายาทได้ด้วย ส่วนใบ ภบท.๕ นั้น ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่เป็นป่าสงวน คนเข้าทำกินโดยการบุกรุกเสียมากกว่า