กราบเรียนท่านอาจารย์มีชัย ที่เคารพ

ขอความเมตตาขอรับคำแนะนำที่ถูกต้องในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย 4  ข้อ ดังนี้ครับ

1. ระหว่าง “ข้อกฎหมาย” กับ “ข้อเท็จจริง”  หากเป็นคดีขึ้นสู่ศาล  ศาลท่านจะยึดอะไรเป็นหลักในการพิจารณาให้เรื่องยุติ หรือเป็นที่สุดครับ (ภาษาชาวบ้าน อะไรใหญ่กว่ากันครับระหว่างข้อกฎหมาย กับข้อเท็จจริง)

2. คำว่า “การพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ” หมายความว่าอย่างไรครับ

3. สมมุตินะครับ “สถาบันการเงิน ก.อนุมัติให้ นาย ข.กู้ยืมเงิน เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด(มีหน่วยงานของรัฐรับผิดชอบดูแล)  คือเป็นจำนวนเงินร้อยละ 75 ของราคาประเมินที่ดิน ทั้งที่กฎหมายกำหนดว่าห้ามเกินร้อยละ 70 ของราคาประเมินที่ดิน”

คำถาม คือ 3.1 ข้อเท็จจริงคือมีการกู้ยืมเงินกันจริง คือร้อยละ 75 ของราคาประเมินที่ดิน  ส่วนนี้ถือเป็น “ปัญหาข้อเท็จจริง”   ถูกต้องหรือไม่ครับ

                3.2  “ปัญหาข้อกฎหมาย” คือ การที่บริษัท ก.เป็นผู้ให้กู้เงินกระทำผิดกฎหมายที่กำกับว่าห้ามให้กู้ยืมเงินเกินร้อยละ 70   ของราคาประเมินที่ดิน ถูกต้องหรือไม่ครับ

                3.3 กรณีที่สมมุติขึ้นนี้ หากความปรากฏต่อสาธารณะ  หรือ หน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงิน  ใครจะเป็น “ผู้เสียหาย”  ครับ  

4. กรณีสมมุติ ตามข้อ3  ใช้ได้กับข้อความในเครื่องหมายคำพูดของข้อ 2  ได้อย่างไรบ้างครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

นรินทร์ ถ.

เรียน คุณนรินทร์ ถ.

1. ศาลต้องอาศัยทั้ง ๒ ข้อ ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งก็ตัดสินไม่ได้ เช่น เช่น ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายคนอื่น ปัญหาข้อเท็จจริงก็คือมีการกระทำใดต่อกันหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง  และการกระทำนั้นเป็นการทำร้ายผู้อื่นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย เช่น นาย ก.เดินผ่านบ้านนาย ข. พอดีกับกระเบื้องหลังคาบ้านนาย ข.หล่นลงมาโดยหัวนาย ก. จนหัวแตก  ข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบให้ศาลเห็นก็คือ มีกระเบื้องตกลงมาโดยหัวนาย ก. กระเบื้องนั้นเป็นกระเบื้องบนหลังคาบ้านนาย ข. และนาย ข.ตั้งใจให้กระเบื้องตกลงมาโดนหัวนาย ก.หรือไม่  เมื่อได้ข้อเท็จจริงแล้ว ข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะถือได้หรือไม่ว่านาย ข.ทำร้ายนาย ก.

2. ใช่ เพราะถ้าข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ ก็ยังวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ได้

 3.1-3.2 ใช่

3.3 หน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงินนั้นเป็นผู้เสียหาย

3.4 ก็ต้องนำสืบข้อเท็จจริงให้ได้ความเสียก่อนว่ามีการให้กู้เงินกันหรือไม่เป็นจำนวนเท่าไร