ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    033859 ปัญหาเกี่ยว สามี ไม่ดูแลเอ แม่น้อง BT23 กุมภาพันธ์ 2552

    คำถาม
    ปัญหาเกี่ยว สามี ไม่ดูแล
    กราบเรียน ท่านอาจารย์ มีชัย ฤชุพันธ์ ที่เลื่อมใส และ ศรัทธา 
    เอขอกราบเรียนปรึกษา เรื่อง เลือกสามีและพ่อของลูกผิด (สิ่งผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชิวิตลูกผู้หญิง)

    เอต้องกราบขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยกรุณาสละเวลาอ่านเรื่องราว ที่มันอาจยาวไปสักหน่อยแต่เนื่องจากมันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดค่ะ เอได้เคยโทรปรึกษากับสภา... แต่ได้รับการหัวเราะเย้ยหยันเห็นเป็นเรื่องตลก และโทรไปกี่ครั้งก็เจอแต่ทนายคนเดิม และได้เคยติดต่อปรึกษาทนายอาสา คุยไปคุยมาก็เข้าประเด็นเรียกเงิน เอหมดที่พึ่งจริงๆค่ะ เอเหลือก็แต่แม่ท่านก็ไม่ได้เรียนสูงหรือมีความรู้มากอายุ 70กว่าแล้ว สุขภาพก็แย่ พ่อก็ไม่มี ขอความกรุณาท่านช่วยด้วยเถิดนะคะ สถานะของเอตอนนี้ก็ไม่พร้อมที่จะหาทนายเก่งๆมาช่วยได้ จึงขอรบกวนท่านช่วยชี้ทางสว่างด้วยค่ะ เอเชื่อว่ามี(เพศแม่)เพื่อนหญิงอีกหลายคน ที่ต้องพบกับปัญหาชีวิตเช่นนี้ ฉะนั้น เอหวังว่าคำถามของเอหลายๆข้อคงจะมีประโยชน์กับเอและท่านอื่นๆด้วยค่ะ ท่านตอบของเอช้าหรือทีหลังคนอื่นก็ได้ค่ะ เนื่องจากเรื่องค่อนข้างยาว คำถามเยอะ เอรอได้ค่ะ และจะรอความกรุณาจากท่านค่ะ
    เอ = หญิง โจ้ = ชาย 

    เอ กับ โจ้ คบหากันมา 3 ปี เดือนมีนานี้ก็ 4 ปีค่ะ ทุกอย่างลงตัวไปหมด ไปมาหาสู่กันสังคมรับรู้ โจ้อยู่กับพ่อ แม่ และพี่ชาย ทางครอบครัว โจ้ก็ทำท่ารักใคร่เอ็นดู เอ เหมือนลูกสาวคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำไป (ส่วนแม่เอก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วแต่เอ )โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่โจ้ ถึงขนาดที่ว่า ตัวแม่โจ้เอง มารับเอไปทานข้าวกันลำพัง ชวนไปโน่นไปนี่ วันหยุดก็ให้โจ้มารับไปจ่ายตลาดกัน และก็ทำอาหารกินกันแบบครอบครัว พ่อแม่เค้าเคยชวนไปเที่ยวค้างต่างจังหวัดด้วยกัน 

    เอจะให้ของขวัญกับครอบครัวโจ้ทุกเทศกาล และให้ความเคารพพวกเขา เป็นอย่างนี้เสมอมา ส่วนตัว โจ้เองนั้นก็รักเอ และบอกว่า เอคือ ฮีโร่ ของโจ้ เพราะเออายุมากกว่าโจ้ เอเกิด 19 โจ้เกิด 26 แต่ที่บ้านโจ้ไม่มีใครรู้และไม่มีใครดูออกเลย(เออาจหน้าเด็ก หรือโจ้หน้าแก่) 
    เอสอน และแนะนำให้คำปรึกษาโจ้ทุกอย่าง โดยที่โจ้ได้บอกกับเอว่า พ่อ แม่และพี่ชายเค้า ยังไม่เคยสอนและใส่ใจเค้าแบบนี้เลย เพราะเอทำงานระดับผู้จัดการมาหลายแห่งก็มีประสบการณ์งานเยอะ ก่อนหน้านี้เอ ไม่คิดจะเป็นแฟนกับโจ้เลย แต่โจ้ตื้อ และขอโอกาส รวมทั้งความประพฤติของโจ้นั้นก็ถือว่าโอเค ไม่ทำตัวเป็นเด็กไร้สาระ และเอเคยบอกกับแม่โจ้เรื่องอายุเราต่างกันเค้าไม่ว่าอะไรเค้าบอกว่า
    ไม่แปลก เค้าก็แก่กว่าพ่อโจ้ และเพื่อนเค้าก็มี อีกทั้งดารา น.กับ ค.ก็รักกันดีไม่เห็นมีอะไร และแม่เค้าก็ยังปฏิบัติเหมือนเดิม (ทั้งๆที่ความรู้สึกครั้งแรกที่เอพบหน้าแม่เค้าโหงวเฮ้งบอกว่าเค้าน่าจะร้ายพอดูแต่แล้วเอก็ต้องแปลกใจว่าทำไมเค้าใจดีเหลือเกิน เอาใจเราจนไม่น่าเชื่อ) พ่อแม่เค้าก็เรียนจบปริญญา พ่อเคยทำงานธนาคาร แม่เป็นอดีตข้าราชการ ฐานะปานกลางกินบำนาญและเงินเก่าเก็บ

    เอกับโจ้ เคยเปิดห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จดทะเบียนด้วยกัน เอถือ 40 โจ้ถือ 40 เพื่อนเอถือ 20 แต่ยังไม่มีรายได้รอจังหวะเนื่องจากเกี่ยวกับนายหน้า(ก่อนจดทะเบียนสมรส)

    จนกระทั่งเดือน มกราคม 2551 พอเอรู้ตัวว่าตั้งครรภ์จึงบอกกับโจ้เราตกลงกันว่าจะเก็บเด็กไว้เพราะเอยืนยันหนักแน่น 
    ไม่อยากทำบาป อีกอย่างเราก็ทำงานกันแล้วไม่ใช่เด็กๆที่จะสนุกอย่างเดียวแล้วปัดความรับผิดชอบจะอายสุนัขซะเปล่าๆ 

    เอกับโจ้ปรึกษากันโดยโจ้ไปถามแม่ว่า “แม่ ถ้าโจ้จะแต่งงานกับเอเร็วๆนี้แม่จะว่ายังไง” “แม่โจ้บอกว่าก็แต่งสิไม่ว่าอะไร และถามว่า
    ทำไมถึงนึกจะแต่งขึ้นมาตอนนี้” เราสองคนเลยไปคุยกับครอบครัวโจ้ ว่ามันเกิดการผิดพลาดขึ้น เอจึงไปกราบขอโทษพ่อแม่เค้า (แทบเท้า
    เลยด้วยค่ะ) ขอความเห็นใจ ขอความกรุณา ขอให้อภัยเราสองคน แต่พ่อแม่เค้าบอกว่าลูกชายเค้าไม่พร้อม พี่ชายเค้าก็ด้วย 
    (พี่เค้าอายุน้อยกว่าเอ) พ่อเค้าบอกกับลูกชายเค้าว่าต่อหน้าเอว่า “โจ้ แต่งงานแล้วชีวิตโจ้จะจบสิ้นเลยนะ ไม่มีความสนุกสนาน สังคม เที่ยว
    สังสรรค์กับเพื่อนฝูง ฯลฯ”

     พวกเค้ายืนยันว่าไม่ได้ ยังไง ก็ไม่แต่ง พวกเค้าบอกว่าเอต้องไปทำแท้ง แม่เค้าบอกว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก สมัยนี้ หมอเก่ง ทำแท้งแป๊บเดียว
    เองไม่เจ็บมากหรอกแม่ก็เคยทำ ตอนที่มีน้องโจ้ กลัวเลี้ยงไม่ไหว ก็เลยทำแท้ง” ดูมันช่างเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินสำหรับแม่เขา พี่เค้าก็
    บอกว่าน้องชายเค้าไม่พร้อม ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยว่าคนที่เป็นพ่อแม่คน และกำลังจะเป็นปู่กับย่าคน จะพูดออกมาและสอนลูกแบบนี้ 
    อย่างไม่มีความละอายต่อบาปเลย ต่างจากตอนที่เอไม่ท้องราว ฟ้ากับเหวเลยค่ะ หรือ หน้ามือเป็นหลังมือ
    เอถามโจ้ต่อหน้าพ่อแม่เค้าว่าจะเอายังไง โจ้ก็บอกว่าเค้าต้องรับผิดชอบ นี่ลูกเค้า และไม่อยากทำบาป ทำอะไรก็ไม่เจริญ(เค้าเคยได้ยินมา) 
    อีกอย่างลูกนี่แหละจะทำให้เค้าพร้อม และเป็นผู้ใหญ่เร็วขึ้น เอขอร้อง ร้องไห้ วิงวอนเท่าไหร่พวกเค้าก็ไม่เห็นใจเลย เอบอกว่าแค่จัดพิธี
    เรียบง่ายก็ได้แค่กู้เกียรติไม่ให้คนเป็นแม่ฝ่ายหญิงต้องอับอายตามธรรมเนียมไทยเราว่าลูกสาวท้องไม่มีพ่อ แต่ยังไงก็ดูไม่มีหนทาง เอบอก
    ว่าถ้าเอแท้งทุกคนคงดีใจสินะ พี่ชายเค้าบอกใช่ จะทำให้เอาไหม แล้วทำท่าทีเดินดิ่งเข้ามาราวกับว่าจะมาทำร้ายร่างกายให้เอแท้ง เอบอกว่า
    ท่ากล้าดีก็ลองดู เอรู้ทันทีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเสวนากับครอบครัวนี้อีกต่อไป เอบอกว่าไม่เป็นไรนะโจ้ ถ้าโจ้จะไม่รับผิดชอบแต่ยังไงเอก็
    จะเก็บลูกไว้เอเลี้ยงเองได้ พี่เค้าบอกว่า “มีสิทธิ์อะไรที่จะเก็บไว้ นี่ก็ลูกน้องชายเค้าเหมือนกัน น้องชายเค้าก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ให้เด็กคนนี้
    เกิดมา” เค้าบอกว่าเอไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินให้ลูกเกิดมาไม่มีพ่อนะ เอบอกว่าแล้วเธอมีสิทธิ์อะไรที่จะฆ่าเค้า (ทีอย่างนี้บอกว่าลูกของน้องเค้า
    งงจริงๆ) เอบอกว่างั้นชั้นก็เลี้ยงของชั้นเองได้ พี่ชายเค้าพูด “ให้มันจริงเถอะอย่ามาเหยียบบ้านเค้าและมาขอความช่วยเหลือแล้วกัน” โอ้โห
    เหลือเชื่อจริงๆค่ะ เอกลับบ้านเดี๋ยวนั้นเลย โจ้ตามมาส่งและบอกว่าเค้าไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อแม่เค้าจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ส่วนพี่เค้าอิจฉาน้อง
    อยู่ตลอดอยู่แล้ว จากนั้นมาเอไม่เคยไปเหยียบอีกเลย

    จากนั้นโจ้ยังอยู่ที่บ้านพ่อแม่เค้า เอเริ่มเตรียมจัดงานแต่ง โดยจัดการเองกับแม่ส่วนโจ้นั้นเพียง เออ ออ และไปเป็นเจ้าบ่าวในงานด้วย
    เท่านั้นไม่เคยแจกการ์ดให้ใครเลย แม้กระทั่งเพื่อนที่ทำงาน มันทำให้เอเริ่มคิดว่าในระยะเวลาที่เค้าอยู่บ้านนั้น มีบางอย่างทำให้โจ้
    เปลี่ยนไป เราจัดงานแต่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่บ้านแม่ โดยปราศจากพ่อแม่ฝ่ายชาย ญาติ หรือแม้แต่เพื่อนสักคนเดียวก็ไม่มี
    เพียงแต่เอขอให้รุ่นพี่มาเป็นหน้าม้าเถ้าแก่สู่ขอให้ ฝ่ายชาย เงินสินสอดก็เป็นเงินแม่ แก้หน้าให้ลูกสาว ตอนนั้นเอยังทำงานอยู่แต่เริ่มแพ้
    ท้องมาก และงานระดับผู้บริหารมันค่อนข้างเครียดประชุมทุกวัน เลยเวลางานวันละ 2-3ชั่วโมง และไกลจากที่พักมาก โจ้บอกว่าให้ลาออก
    ก่อนก็ได้เค้าจะดูแลเราเอง เค้าก็ยืนยันว่าดูแลเราได้ เอก็เลยลาออกมา หลังจากแต่งงานแล้วเค้ายังคงอยู่กับพ่อแม่เกือบเดือน เราก็คุยกันว่า
    ควรจะย้ายมาอยู่ด้วยกันดูแลกันบ้าง เค้าก็ผัดวันประกันพรุ่ง 

    จนในที่สุดเอเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ชวนโจ้ไปจดทะเบียนโจ้บอกว่า ก็แต่งแล้วจะเอาอะไรอีกทำไมต้องจดทะเบียนด้วย 
    เค้าบอกว่าอยากได้สมบัติเค้าหรือ เอเลย ย้อนกลับไปว่าเธอมีสมบัติอะไรให้ชั้นช่วยบอกมาหน่อยเค้าจึงเงียบ เอบอกอีกว่าอย่านึกว่าชั้น
    อยากจะใช้นามสกุลเธอจนตัวสั่นนะที่ชั้นทำเพื่อความมั่นคงของลูกเท่านั้นเอง และเอเลยบอกเค้าไปว่าอีกอย่างว่าเค้าจะได้เบิกเงินค่าคลอด
    บุตรจากประกันสังคมได้และ ลดหย่อนภาษีได้ เค้าก็เลยยอมโดยไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก จากนั้นเค้าก็อยู่บ้านเค้าทีละ 15-20 วัน ต่อเดือน
    ตั้งแต่แต่งงานจนถึงปัจจุบัน และตอนนี้ไปอยู่บ้านตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 เค้าทำงานเป็นกะ ถึงเวลาเลิกงานไม่ค่อยอยากกลับบ้าน ไป
    เที่ยวต่อ ชอบไปกินข้าวกับผู้หญิงทั้งที่เวลาพักไม่ตรงกันก็รอไปพร้อมกัน เวลากลับก็เช่นกัน ไปส่งผู้หญิงอ้างว่าเพื่อนตลอด ปล่อยเราอยู่ 
    คนเดียวจนสังคมรอบข้างถามว่าท้องแก่ทำไมแฟนไม่ดูแล แม่ค้าที่ตลาดถามว่าทำไมต้องซื้ออาหารมากมาย เราบอกไปว่าเอาไปแช่แข็งไว้
    จะมาซื้อไม่ไหวแล้ว คนรอบข้างก็ถามอะไรต่างๆนาๆ 

    เอเคยพยายามหลายหนแล้ว ที่จับเข่าคุยกับเค้า และพยายามทุกๆอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนก่อน แต่ก็รู้ว่ามันเกินแกง กู่ไม่กลับแล้ว บางที
    เค้าอาจมีบางสิ่งซ่อนเร้นไว้ หรือกำลังออกนอกลู่นอกทาง และอีกอย่างตอนนี้เอก็ไม่อยากให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วด้วย เวลาอยู่
    ด้วยกันก็ไม่คุยกัน ไม่ดูแล กลับเพิ่มภาระ ทำอะไรไม่ถูกใจไปหมด ไม่อยากให้โทรไปที่ทำงาน อายกลัวคนรู้ว่าตัวเองแต่งงาน มีลูกแล้ว 
    พูดหยาบ ด่า ทวงบุญคุณ ชอบทำห้องเลอะเทอะให้มดมากัดลูก สูบบุหรี่ เปิดทีวีเสียงดัง ทำอะไรโครมคราม ขอร้อง เตือน ให้ปรับปรุง ให้
    เห็นแก่ลูก เพราะบางทีลูกตกใจ แต่นับวันยิ่งแย่ ไม่ให้ชื่อลูกเข้าทะเบียนบ้าน ไม่ช่วยตั้งชื่อลูก แจ้งเกิด ไม่ทำอะไรเลยนอกจากรอเอกสาร
    ทุกอย่างให้เอจัดการจนครบ แล้วตนจึงไปทำเรื่องเบิกเงินประกันสังคม และเงินสงเคราะห์บุตรเก็บไว้เองเลย บ่นรำคาญเสียงลูกเอาให้เอา
    ลูกไปไกลๆหนวกหู เอผ่าตัดเลยต้องพักฟื้นนานมันเจ็บมาก เค้าไม่เคยดูแล เคยขับไล่ ขู่ทำร้าย ไม่สนใจลูก ไม่รักลูก ทำเพียงแต่จ่าย
    ค่าอาหารและที่พักแค่นั้น แม่เค้าทำมาเป็นเอาหน้ามาตอนที่ลูกชายตัวเองอยู่ และแสดงออกว่าเค้าจะเอาชนะใจลูกชายเค้าให้
    ได้หลังจากที่ลูกชายคิดว่า แม่ก็เป็นไปกับเค้าด้วยเรื่องที่จะให้เอาเด็กออก เค้าเลยทำเป็นกระตือรือร้นมาหา แต่เปล่าเลย เค้ามาเฉพาะรับลูก
    ชายส่งขึ้นรถไฟฟ้า ก่อนหน้านี้เค้าแม่เค้าบอกให้เค้าเอารถมาใช้ไปทำงานแต่เค้าก็ไม่เอาเพราะกลัวจะไม่มีข้ออ้างว่ากลับไปอยู่บ้านเพราะ
    ต้องการใช้รถขับไปทำงาน ตอนนี้เค้ากลับไปอยู่บ้านตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 แม่เค้าส่งเสริมผลักดันให้เค้าเรียนต่อ เราอยู่กันแม่ลูกตาม
    ลำพังมาโดยตลอด เอลองแกล้งถามเค้าว่า ที่บ้านเธอไม่มีใครถามเหรอว่าไม่กลับไปอยู่กับลูกเหรอ เค้าตอบว่าไม่มีใครพูดอะไรเลย 
    เหลือเชื่อจริงๆ เค้าคงดีใจที่ลูกชายกลับไปอยู่บ้าน 

    มีครั้งนึงเค้าไปกินเลี้ยงวันเกิดล่วงหน้าหัวหน้าจัดให้หลายคนเกิดเดือนเดียวกัน เค้าแกล้งชวนเอเพราะคิดว่าเอคงไม่ไป เหมือนช่วงที่เอ
    ท้องแก่ เอบอกว่าเอจะไปและจะพาลูกไปด้วยเค้าก็ไม่ว่าอะไร เอก็อุตสาห์ไปซื้อขนมเค้กร้านโปรดของเค้าไปในงานด้วย แต่พอเอกับลูก
    ไปถึง เค้าพาเอกับลูกกลับบ้านทันที และพูดว่า “มึงพา (ชื่อลูก) มาทำไม (เค้าไม่เคยเรียกตัวเองว่าพ่อกับลูกเลย) มึงทำแบบนี้มึงต้องการฆ่า
    กูใช่ไหม มึงมาประจานกูใช่ไหม” เค้าทำเหมือนเราเป็นเมียน้อยเมียเก็บต้องหลบๆซ่อนๆ ไม่ให้คนในสังคมของเขาได้รับรู้ 

    ตอนนี้เอรอเพียงงานเท่านั้น ทุกวันนี้เค้าพยายามเหยียดหยามให้เอจมดิน เอเหมือนนกปีกหัก รอวันที่เอได้งานเอไปแน่นอนค่ะ มีบริษัท
    มหาชนแห่งหนึ่งทำธุรกิจ เสื้อผ้าห้างสรรพสินค้า โรงแรม รีสอร์ท ฯลฯ สนใจอยากที่จะจ้างเอทำงานตำแหน่งผู้จัดการ เอ ติด 1 ใน3 ที่
    นายจ้างให้ความสนใจ แต่เนื่องจากเศรษฐกิจ เลยเลื่อนกำหนดที่จะตัดสินใจว่าจ้างจากปีใหม่เลื่อนไปเดือน เมษายน 2552 นี้ ว่าเค้าจะจ้าง
    ตำแหน่งนี้ไหม และจะจ้างใคร 1 ใน 3คนนี้ แต่เอมั่นใจเพราะผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็บอกว่าคุณสมบัติตรงมากกว่าคนอื่นๆ เงินเดือนสูงหากเอ
    ได้งานนี้เอเลี้ยงลูกได้สบายเลยค่ะ รอวันที่จะหลุดพ้นทางคนๆนี้และครอบครัวนี้เสียที ตอนนี้ลูก 6 เดือนค่ะ

    คำถามมีดังนี้ค่ะ ***หากสมมุติว่าท่านมีชัยเป็นเอ ท่านจะจัดการกับชีวิตที่เป็นเช่นนี้อย่างไรคะ แล้วมี สิ่งใดที่เอพึงกระทำหรือเรียกร้อง
    สิทธิ์ หรือรักษาสิทธิ์ เพิ่มเติม ที่ทำได้ ณ ขณะนี้ที่ยังไม่ได้หย่าคะ ที่เออาจไม่เคยทราบมาก่อนเลยขอความเมตตาท่านกรุณาแนะนำได้ไหม
    คะ และสิ่งใดที่ไม่ควรกระทำตอนนี้เพราะอาจเสียเปรียบ และอาจเดือดร้อนคะ โปรดช่วยกรุณาให้ข้อมูลได้ไหมคะ

    1.เคยมีครั้งนึงนานแล้วตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน เราเคยทะเลาะกันแล้วเอ งอน เค้าพยายามง้อเอด้วยวิธีการปล้ำ เอตกใจกลัวร้องให้
    เขาก็ตกใจว่าเป็นอะไร เอเลย(ไว้ใจเกินไป)เล่าความจริงให้เขาฟังว่าเคยถูกชายผู้ให้กำเนิดข่มขืน แล้วตอนหลังมา เขานำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจา
    เย้ยหยันเรา เจ็บใจและเกลียดเค้ามากเลยค่ะยังไงคงหย่ากันแน่ๆ เราเอาผิดเค้าได้ไหมคะ แล้วชายผู้กระทำคนนั้นเรากลับไปเอาเรื่องเค้าได้
    ไหมคะหากว่ามันเป็นเวลานานมาแล้วค่ะ

    2.หากว่ามีการหย่า สิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรศาลมีแนวโน้มที่จะให้เค้าได้บุตรไปหรือไม่คะ เออยากทราบว่าการกระทำของเขาและครอบครัว 
    ที่ให้ไปทำแท้งและอื่นๆ และพวกเขาไม่เคยสนใจใยดีเด็กเลย ข้อมูลตรงนี้มีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะทำให้ศาลตัดสิทธิ์เค้าหรือไม่คะ

    3.กริยาที่พี่ชายเค้าทำท่าทีจะทำร้ายเราเช่นนั้นเราเอาเรื่องได้ไหมคะ หรือว่ามันนานมาแล้ว 

    4. บัตรเครดิต – โจ้ทำบัตรเครดิตเกือบ 10 ใบ ให้เอถือบัตรเสริมเพียงใบเดียวซึ่งวงเงินเต็ม บัตรเสริมนี้มีตั้งแต่ ยังไม่จดทะเบียนสมรสกัน ปัจจุบันเมื่อถามถึงบัตรใบอื่นๆ(ทำหลังจากจดทะเบียน)เค้าก็ไม่ยอมบอกให้ทราบว่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เอกลัวจะเจอปัญหาหากหย่ากันต้องใช้หนี้กับเค้าด้วยไหมคะ และถ้าเค้าไม่ชำระ หรือถูกฟ้อง เอต้องรับผิดชอบด้วยไหมคะ ทั้งบัตรเสริม และ บัตรใบอื่นๆที่เค้าใช้เอง แต่เค้าอาจอ้างว่าบางครั้งนำมาใช้ภายในครอบครัว ต้องทำอย่างไรคะ แยกแยะยังไงคะ เคยอ่านพบว่าบัตรเครดิตเป็นหนี้เฉพาะบุคคล และก็อ่านพบว่า ภรรยาต้องช่วยชดใช้หนี้ รู้สึกงง ๆ กับเรื่องนี้ค่ะ ในการใช้หนี้บัตรเครดิตของคู่สมรส
    ถ้าหากเอต้องร่วมใช้หนี้กับเค้าด้วยควรจะบอกให้เค้าทำบัตรเสริมให้เราถือด้วย ดีไหมคะ ทำได้ไหมคะเพราะว่าถ้ายังไงเราต้องช่วยใช้หนี้แน่ๆ มันก็ไม่แฟร์ สิคะเพราะว่าบัตรอีกหลายใบเค้าจะนำไปใช้ในทางมิชอบก็เป็นได้ ควรทำอย่างไรดีคะ 

    5. ขณะนี้ฝ่ายชายทำงานคนเดียวเอเลี้ยงลูก ถ้าหากทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรส ได้ไปอ่านพบมาว่าเงินเดือน และโบนัสก็เป็นสินสมรส 
    ***5.1 หากเงินเดือน และโบนัส เป็นสินสมรส เอมีสิทธิ์ครึ่งหนึ่งใช่ไหมคะ
    ***5.2 สินสมรส จำเป็นต้องหย่าถึงแบ่งได้หรือคะ
    ***5.3 ถ้าแบ่งได้โดยไม่หย่า แบ่งยังไงคะ แล้วแบ่งทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามาหรือเปล่าคะ ต้องฟ้องศาลให้แบ่งหรือเปล่าคะ
    ***5.4 การแบ่งสินสมรสเมื่อหย่า จะนับสินสมรสตั้งแต่แรกเริ่มที่มีตั้งแต่จดทะเบียน ย้อน
    หลังรวมถึงรายได้ทุกเดือนใช่หรือไม่คะ หรือว่าแบ่งเฉพาะทรัพย์ที่มีเหลือ ณ ขณะนั้นเท่านั้นไม่ได้คิดรายได้ย้อนหลังคะ

    4+5 หากเงินเดือนหรือรายได้อื่นๆก็ตามเป็นสินสมรส แล้วเค้านำไปใช้หนี้บัตรเครดิตที่เป็นหนี้ เฉพาะบุคคล เค้ามีสิทธิ์ทำได้เหรอคะ แล้วเราจะรักษาสิทธิ์ในส่วนของเราได้ยังไงคะ

    6.หากว่าฝ่ายชายเกิดคิดกลั่นแกล้งขึ้นมา โดยการออกจากงาน(ไม่ได้ถูกไล่ออกนะคะ) เพราะพ่อแม่เค้าอาจให้เค้าทำก็ได้และไปเรียนอย่างเดียว โดยที่เค้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบครอบครัวตอนนี้ เพราะเอยังไม่ได้งาน ตรงนี้ มีกฎหมายคุ้มครองได้ไหมคะ ละถ้ามันเกิดขึ้นควรทำเช่นไรคะกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวค่ะ

    7.การที่เราเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายมีสิทธิ์ที่จะแสดงตัวกับสาธารณชนรับรู้ได้ไหมคะ เช่นการที่เราจะพาลูกไปหาเค้าที่บ้าน หรือที่ทำงาน เค้าจะมาอ้างว่าเราไปก่อกวนได้ไหมคะ ทั้งๆที่เราไปเฉยๆ 

    8.คอนโดที่เออยู่กับลูกตอนนี้เช่าไว้ตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนสมรสโดยใช้ชื่อเค้า เค้ามีสิทธิ์ไล่ไม่ให้เราอยู่ไหมคะ ถ้าหากเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อเราสามารถไม่ให้เค้าเข้ามาได้ไหมคะ แล้วเค้าจะอ้างไม่ยอมจ่ายค่าเช่าได้หรือเปล่าคะ มีครั้งนึงเค้าไล่เอว่ามึงไปอยู่ที่อื่นเลยนี่ห้องกูกูเป็นคนเช่าชื่อกู บ่อยๆเข้า เอเลยแกล้งพูดไปว่าตอนที่ต่อสัญญาเอใส่ชื่อเอเป็นผู้เช่าไปแล้ว

    9.พยานผู้เห็นความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างเราสามารถให้การเป็นพยานโดยไม่ต้องไปขึ้นศาลได้ไหมคะเพราะบางทีคนเราอาจอยากช่วย(ยืนยันว่าฝ่ายชายปล่อยทิ้งอยู่ลำพังกับลูก)แต่อาจไม่สะดวกใจที่จะต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล เออยากทราบว่า ทางศาลจะมีเจ้าหน้าที่มาสืบหาข้อมูลไหมคะ การไปขึ้นศาลให้ใครไปด้วยได้บ้างและกี่คนคะ พยานที่เป็นบุคคลในครอบครัวซึ่งสามารถที่จะกุเรื่องขึ้นมาปรักปรำเราก็ได้มีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหนคะในดุลพินิจของศาล

    10.การที่จะทำการฟ้องร้องหญิงชู้ได้นั้นต้องจับได้ในเรื่องหลับนอนเท่านั้นหรือเปล่าคะ หรือว่า เค้าสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษไปไหนมาไหนอย่างไปในทางชู้สาวก็ถือว่าเข้าข่ายจะใช้ได้ไหมคะ ข้อมูลการโทรติดต่อหาชู้ หรือ ข้อความติดต่อกันกับชู้ทางโทรศัพท์ใช้เป็นข้อมูลหลักฐานได้ไหมคะ

    11.การที่เค้าทิ้งเราอยู่กับลูกตามลำพังเช่นนี้เค้าจะนำไปอ้างว่าเราสมัครใจแยกกันอยู่กับเค้าได้ไหมคะ หรือว่าต้องมีการทำเป็นหลักฐานไว้ การแยกกันอยู่จะถูกลบล้างไหมคะหากเกิดมีความสัมพันธ์กันขึ้นมาหรือไม่เกี่ยวคะ เค้าสามารถฟ้องหย่าได้ไหมคะหากเราไม่ยอมให้มีสัมพันธ์ด้วย ศาลจะยกเว้นกรณีชู้สาวไหมคะหากเค้าอ้างว่าเราไม่ยอมมีสัมพันธ์กับเค้า การไปเที่ยวซื้อบริการทางเพศเค้าจะมีความผิดไหมคะ

    12.หากเราย้ายหนีเค้าเมื่อมีงานทำ และให้เหตุผลว่าไม่ได้เต็มใจแยกกันอยู่แต่ว่าเค้าขู่ทำร้ายจะถือว่าสมัครใจแยกกันอยู่ไหมคะ เอเคยไปแจ้งความไว้ และในกรณีนี้เราจะถูกแบ่งเงินเดือนของเราเป็นสินสมรสไหมคะ และหากในกรณี ฝ่ายชายตกงานหญิงทำงานหญิงต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงดูไหมคะ เค้าฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูได้ไหมคะ

    สุดท้ายนี้เอต้องขอกราบขอบพระคุณท่านที่สละเวลา และขอขอบพระคุณแทนประชาชนทุกคนที่ บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ของประเทศชาติอย่างท่านได้ให้ความกรุณาประชาชนที่ไร้ที่พึ่ง อย่างจริงใจมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ขอให้ท่านมีความสุขมากๆค่ะ พระคุ้มครอง รักษาสุขภาพด้วยนะคะ 

    ขอแสดงความนับถือ


    คำตอบ

    เรียน เอ แม่น้อง BT

        อันที่จริงความผิดพลาดในชีวิตของคุณนั้นเกิดขึ้นจากทัศนคติที่ผิด ที่มีมาแต่โบราณสมัยที่ชายหญิงยังไม่ทัดเทียมกัน  คือ นึกว่าเมื่อมีท้องแล้ว จะต้องหาพ่อให้ลูกให้ได้ เพื่อให้สังคมยอมรับ และเชื่อว่าการทำพิธีแต่งงานจะเป็นการแก้หน้าได้  ซึ่งน่าจะเป็นความเข้าใจที่เป็นการซ้ำเติมปัญหาให้กับตัวเองมากกว่าเป็นการแก้ไขปัญหา  ด้วยเหตุที่เข้าใจเช่นนั้น คุณจึงพยายามขวนขวายจัดทำพิธีแต่งงาน ทั้ง ๆ ที่เริ่มรู้ถึงความไม่ปกติของครอบครัวฝ่ายชาย และความเป็นที่พึ่งไม่ได้ของตัวผู้ชาย แต่แม้กระนั้นคุณก็ยังพยายามให้เขาจดทะเบียนสมรสกับคุณจนได้ อันก่อให้เกิดความผูกพันทางกฎหมายขึ้น และบุตรที่เกิดมาแทนที่จะเป็นของคุณคนเดียว ฝ่ายชายก็เลยกลายมาเป็นพ่อ (ที่ไม่ได้รับผิดชอบอะไร) และมีอำนาจปกครองบุตรขึ้น ซึ่งแม้ในทางเป็นจริงเขาจะไม่ได้รับผิดชอบ หรือรู้ถึงความสำคัญอะไร แต่วันหนึ่งเขาก็อาจใจจุดตรงนี้มาทำให้คุณเดือดร้อนยิ่งขึ้นได้อีก  อันที่จริงปัจจุบันนี้หญิงที่มีลูกโดยไม่มีสามีนั้น ดูเหมือนจะเป็นของธรรมดา  เพราะมีคนที่อยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงานกันมีเป็นจำนวนมาก และแม้แต่แต่งงานจดทะเบียนสมรสกันแล้ว กฎหมายก็ยอมให้ใช้นางก็ได้ หรือใช้นางสาวก็ได้ จะใช้นามสกุลของตัวเองหรือของสามีก็ได้ การที่พลาดพลั้งจนตั้งครรภ์นั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่จะน่าอับอายอะไรนัก และถึงใครจะว่าอย่างไรคนเหล่านั้นก็มิได้มาช่วยอะไรให้ดีขึ้นหรือเลวลงไปอีก  คำถามของคุณนั้น ตอบสั้น ๆ ได้ดังนี้

    1. การกลับไปเอาเรื่องคนที่เคยข่มขืน ก็รังแต่จะทำให้เรื่องที่ไม่มีใครรู้ กลับฮือฮาขึ้นมาอีก ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองนัก และถ้าฟ้องจริง ๆ ก็ยากที่จะหาพยานหลักฐานได้

    2. ถ้าหย่ากัน และคุณรวบรวมหลักฐานทั้งปวงแสดงให้ศาลเห็นได้ว่า ฝ่ายชายไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไร แนวโน้มศาลก็อาจจะให้ลูกอยู่ในความดูแลของคุณ โดยเฉพาะหลักฐานที่ครอบครัวของเขาพยายามให้คุณทำแท้ง

    3. ถ้ามันนานมาแล้ว ก็คงยากที่จะเอาเรื่องเขาอีก แต่หลักฐานที่เกี่ยวข้อง (หากมี) ก็ควรรวบรวมไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการฟ้องหย่า

    4. ปล่อยให้เป็นหนี้ของเขาเองจะดีกว่ากระมัง เพราะไปทำบัตรเสริมเขา ก็จะกลายเป็นว่าหนี้นั้นนำมาใช้จ่ายร่วมกัน วันข้างหน้าหากยังหย่ากันไม่ได้ คุณทำมาหาได้ ก็จะต้องนำไปใช้หนี้ร่วมกัน

    5. สินสมรสนั้นคือทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสกัน และใช้จ่ายด้วยกัน ถ้ายังไม่หย่าสินสมรสก็ไม่แยกจากกัน

    6. ถ้าเขาแกล้งออกจากงานเพื่อให้คุณเดือดร้อน คุณก็คงเดือดร้อนจริง  แต่อาจไปนำสืบเพื่อการหย่าได้

    7. ในทางกฎหมายคุณมีสิทธิเต็มที่  แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง เพราะเขาอาจทำร้ายเอาต่อหน้าคนได้

    8. เขาไม่มีสิทธิไล่คุณออกจากบ้าน  ถ้าเขาจะทำอย่างนั้นเขาก็เลิกเช่าเสียดีกว่า เพียงเท่านั้นคุณก็ไม่มีที่อยู่เอง

    9.เมื่อมีคดีกัน พยานก็ต้องไปให้การที่ศาล

    10. ถ้ามีหลักฐานว่าเขายกย่องหญิงอื่นเป็นภรรยา ก็เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุฟ้องหย่า

    11. ถ้าต้องการหย่าจากเขา จะกลัวอะไรกับการที่เขาจะฟ้องหย่า

    12. ถ้ายังไม่หย่ากัน ต่างฝ่ายต่างก็มีหน้าที่ต้องอุปการะกันและกัน


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    23 กุมภาพันธ์ 2552