ที่ดินของกระผมตอนเป็น นส3 ก ทิศตะวันตกใน นส3ก ติดกับลำคลองสาธารณะ
ต่อมาทางรัฐบาลได้ออกโฉนดให้ฟรีโดยไม่เสียเงิน ก่อนจะออกโฉนดจะต้องปักหลักโฉนด เพื่อทำการรังวัด โดยส่องด้วยกล้อง ที่ดินของกระผมที่ติดกับลำคลองสาธารณะ ได้มีการปลูกต้นไม้ และอนุรักษ์ต้นไม้ไว้ เพื่อป้องกันตลิ่งพังจากน้ำเซาะ และเพื่อความสะดวกของเจ้าหน้าที่รังวัด จึงมีการปักหลัดโฉนด ในบริเวณแนวป่าที่เป็นที่โล่งเตียน จึงทำให้ ที่ดินส่วนที่ติดกับลำคลองซึ่งมีต้นไม้ปลูกไว้ทั้งต้นไผ่ และอีกหลายชนิด เป็นจำนวนเนื้อที่ ประมาณ1 ไร่ เวลาออกโฉนดมาในโฉนดระบุไว้ว่า ทิศตะวันตกยังติดลำคลองสาธารณะเหมือนใน นส3ก แต่เนื้อที่ในโฉนดหายไปจากที่ระบุไว้ใน นส3ก ประมาณหนึ่งไร่
จึงอยากทราบว่าที่ดินที่อยู่ระหว่างหลักโฉนดกับคลองสาธารณะยังเป็นของเจ้าของที่หรือเปล่าเพระที่ริมคลองตรงที่เว้นไว้เป็นที่ดินที่ใช้ประโยชน์มาเป็น100ปีแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่เทศบาลบอกว่าที่ที่เว้นใว้เป็นของกรมธนารักษ์แล้ว เพราะถือว่าที่เว้นไว้เพื่อความสะดวกในการรังวัด เป็นคลองเหมือนกัน ทั้งๆที่เป็นจริงมันเป็นพื้นดินตั้งเกือบ1ไร่ เจ้าหน้าที่เทศบาลบอกว่าเจ้าของที่ดินแปลงนี้ไม่มีสิทธิในที่ดินที่กันไว้เพื่อความสะดวกในการรังวัด หลวงกับกรมธนารักษ์เท่านั้นที่มีสิทธิในการใช้ประโยชน์ และตอนนี้พนักงานเทศบาลคนนั้นกำลังจะทำถนนไปให้ญาติอีกคนผ่านเข้าออก ทั้งๆที่ผมเปิดทางให้ผ่านอีกทางไว้แล้ว และเปิดให้ใช้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะรถยนต์ รถสิบล้อ เข้าออกสวนกันได้สบาย
จึงอยากทราบว่าที่ดินตรงที่เว้นไว้นั้นยังเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินหรือไม่
( ผมเปิดอ่านกฎหมาย เจอมาตรา 1308 ประมวลกฎหมายเพ่งและพาณิชย์ บอกว่าที่ดินที่งอกออกจากตลิ่งโดยธรรมชาติ ไม่ใช่การถมดินลงไป ไม่ใช่การตื้นเขินของลำน้ำ ไม่มีทางสาธารณะผ่าน ยังถือเป็นสิทธิครอบครองของเจ้าของที่แปลงนั้นได้ และสามารถนำมาออกโฉนดส่วนที่งอกจากตลิ่งได้เลย แต่ที่ของผมเป็นที่ๆอยู่ใน นส3ก เป็นที่ดั้งเดิม แต่จะเอาไปให้หลวง ) ผมขอควาอนุเคราะห์จากอาจารย์ช่วยตอบให้ด้วยนะครับ
ในตอนที่เขาไปรังวัด คุณควรจะคัดค้านเขาเสียแต่ต้นว่าที่ดินของคุณมีมากกว่าที่ปักเขต เมื่อไปยอมรับการปักหลักเขตเสียแล้ว ก็เป็นการยากที่คุณจะไปโต้แย้งในภายหลังได้ เว้นแต่คุณจะมีหลักฐานแสดงได้ว่าที่ดินของคุณมีเขตกว้างกว่านั้น ก็อาจไปร้องขอให้ทำการรังวัดใหม่ได้