เจริญพร  ท่านอาจารย์มีชัย และคณะ

ความเบื้องต้น

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ซึ่งตั้งขึ้นตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยความเห็นชอบของ มส. เมื่อราว พ.ศ. 2509  ซึ่ง ครม. ขณะนั้นมีมติอนุมัติให้กรมการศาสนาดำเนินการฝึกอบรมพระธรรมทูต ซึ่งจะส่งไปประกาศพระศาสนาในต่างประเทศ ในความอุปถัมภ์ของรัฐบาล และมส. มีมติแต่งตั้งพระเถระจากคณะสงฆ์และคฤหัสถ์เป็นกรรมการ เช่น พระสาสนโสภณ (สมเด็จพระญาณสังวร ฯลฯ ดร.ดิเรก ชัยนาม เป็นต้น และได้ดำเนินการตั้งแต่ 2509-ปัจจุบัน (2552)

สำนักฝึก ฯ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก กรมการศาสนา (สำนักพุทธฯ ในปัจจุบัน) ซึ้งก็ไม่เพียงพอต่อการดำเนินการฝึกเพราะปัญหาเศรษฐกิจถดถอย  จึงได้มีการประชาสัมพันธ์ (บอกบุญ ไม่ถึงกับเรี่ยไร) การฝึกอบรมเพื่อรับบริจาคเพื่อนำเงินมาเพิ่มเติมจากงบประมาณที่ได้รับ เช่น เป็นค่าภัตตาหาร น้ำปานะ ค่าอุปกรณ์การฝึกอบรมแก่พระภิกษุผู้เข้าอบรม

คำถาม  บางครั้งผู้บริจาคประสงค์จะรับใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี

ซึ่งทางสำนักก็ออกให้ ปัญหาคือ อนุโมทนาบัตรดังกล่าว สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้จริงหรือไม่ 

หากไม่ได้ สำนักฝึกฯ จะมีขั้นตอนดำเนินการอย่างไรในด้านกฏหมาย เพื่อให้ใบอนุโมทนาบัตรนำไปลดหย่อนภาษีได้จริง (ไม่ได้ถามผู้บริจาคเลยว่าเวลานำใบอนุโมทนาไปลดหย่อยภาษีที่สรรพากร ภาษีของเค้าลดได้หรือไม่ได้)

แม้จะเข้าใจอยู่ว่า อนุโมทนาบัตรเป็นเพียงหนังสือที่ทำให้ทราบผู้บริจาคได้บริจาคให้สำนัก ฯ จริงเป็นหลักฐานทางการเงิน หรือบัญชีเท่านั้น

ขอเจริญพร

สันติกโร ภิกขุ

นมัสการ พระคุณเจ้าสันติกโรภิกขุ

    การบริจาคเงินให้แก่วัดนั้นสรรพากรยอมให้นำเงินบริจาคนั้นมาลดหย่อนในการเสียภาษีเงินได้ได้  ส่วนสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตนั้น เข้าใจว่าจะมิได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายให้มีสภาพเป็นนิติบุคคลต่างหาก ดังนั้นหากออกใบรับเงินในนามของสำนักฝึกฯ คงไม่ได้ หรือถึงออกไปก็คงนำไปลดหย่อนเพื่อการเสียภาษีไม่ได้  ทางที่ดีก็คือ เมื่อผู้รับผิดชอบสำนักฝึกอยู่ที่วัดใด ก็ออกใบเสร็จรับเงินในนามของวัดนั้น แล้ววงเล็บต่อท้ายว่าเพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนสำนักฝึกฯ หรือโครงการพระธรรมทูต เงินนั้นก็น่าจะสามารถนำไปใช้ในโครงการพระธรรมทูตได้ และสามารถนำไปลดหย่อนเพื่อการเสียภาษีเงินได้ได้