คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ยกเลิก พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณายกร่างกฎหมายใหม่ เนื่องจากวัฒนธรรมการใช้เช็ค และกลไกการชำระเงินได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.เห็นว่าความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นเรื่องความรับผิดชอบในทางแพ่ง แต่เนื่องจากการใช้เช็คในอดีตมีปัญหาทำให้การใช้เช็คขาดความเชื่อถือ จึงได้มีการกำหนดให้ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นความผิดทางอาญา เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน แต่ปรากฏว่า ในปัจจุบันได้มีการนำมาตรการทางอาญาไปใช้เพื่อบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการสร้างภาระให้กับรัฐ โดยรัฐต้องเข้ามารับภาระในการดำเนินคดีอาญาเพื่อติดตามหนี้สินให้กับเจ้าหนี้ผู้ทรงเช็ค ทั้งที่หนี้สินดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยในแต่ละปีจะมีคดีเกี่ยวกับเช็คขึ้นสู่ศาลประมาณ 20,000 คดี ทำให้รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 300-500 ล้านต่อปี ซึ่งภาระในเรื่องนี้ควรเป็นภาระหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ที่ต้องรับผิดชอบสร้างความมั่นคงทางการเงินแทนมาตรการทางอาญาของรัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ในการเร่งรัดติดตามหนี้สินให้แก่เอกชน โดยการสืบสวนและจับกุมลูกหนี้ในคดีอาญาและการกำหนดให้ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นความผิดทางอาญานั้น อาจเป็นการขัดกับกติกาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยเป็นภาคี ซึ่งมีข้อบทที่ 11 กำหนดว่าบุคคลไม่ควรจะได้รับโทษจำคุกเพราะเหตุการไม่ชำระหนี้ ขณะเดียวกัน สังคมไทย ระบบเศรษฐกิจ วัฒนธรรมการใช้เช็ค และกลไกการชำระเงินได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก มีระบบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต โดยระบบธนาคารสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการชำระหนี้ทางบัตรเครดิตได้ และขณะนี้ในต่างประเทศทุกประเทศ ยกเว้นประเทศอินเดีย ได้กำหนดให้ความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็คเป็นความผิดทางแพ่งเท่านั้น อีกทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือในเช็คสามารถกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่เพื่อทดแทนมาตรการลงโทษทางอาญาได้ เช่น มาตรการตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงินประเภทบัญชีกระแสรายวันเป็นการเฉพาะ โดยการกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการเปิดบัญชี และจำนวนเงินคงเหลือในบัญชี เป็นต้น และมาตรการตามกฎหมายประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับการใช้เช็ค รวมทั้งข้อมูลที่จัดเก็บตามกฎหมายข้อมูลเครดิตในด้านอื่น ๆ มาวิเคราะห์ประกอบการพิจารณาคำขอเปิดบัญชีใช้เช็คของลูกค้าทำให้มีมาตรการคัดกรองเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น และหากธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะที่เป็นองค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์กำหนดให้มีการใช้มาตรการทั้งสองดังกล่าวอย่างเข้มงวดก็จะทำให้เช็คได้รับความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ในการยกเลิกความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเพื่อให้มีมาตรการรองรับในเรื่องนี้ ควรให้มีบทเฉพาะกาล กำหนดเวลาใช้บังคับ เพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการพัฒนามาตรการสร้างความน่าเชื่อถือในเช็ค ตลอดจนบทเฉพาะกาลสำหรับกรณีความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลหรืออยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารพาณิชย์ควรเข้ามามีส่วนรับผิดชอบในการดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อการกำหนดมาตรการรองรับและการสร้างความน่าเชื่อถือในเช็คตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด
ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ที่ผ่านมติครม.เมื่อ 2547และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณายกร่างกฎหมายใหม่ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้วครับ
แหล่งที่มา
http://www.bangkhenpolice.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=89874&Ntype=2