ที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นของ นายใย ซึ่งเป็นบิดาของนายโจม นายจันทร์ และนายสี และนายคำกอง ปี 2505 นายใยได้ไปขอออกใบจอง นส.2 จำนวนพื้นที่ดิน 50 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของนายใย ต่อมา ปี 2512 นายใยได้เสียชีวิต ก่อนเสียชีวิตได้มอบใบ นส.2 ให้ นายโจม พี่ชายคนโต รับไว้ดูแลเอาไว้ รอออกโฉนดตามรัฐประกาศแล้วแบ่งแยกให้น้อง ๆ ตามที่บิดาได้ชี้แนวเขตไว้ให้แต่ละคน ขณะนั้น พน้องชายทั้งหมด ต่างก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่ต่าง ๆ ซึ่งทุกคนแต่งงานแล้วแยกกันไปอยู่ที่อื่น และที่ดินแปลงนี้ได้มอบให้นายโจมรักษาดูแลและทำประโยชน์ที่ดินแปลงนี้ ต่อมา ปี 2518 ภรรยานายโจมได้หนีจากนายโจมไปทำงานที่กรุงเทพแล้วไม่กลับมา นายโจมได้พาลูก ๆ สองคนไปตามหาภรรยาที่กรุงเทพ และไม่มีเงินกลับบ้าน ก็เลยไปหาน้องชาย ชื่อนายสี ซึ่งไปได้ภรรยาทำงานอยู่ที่อู่ต่อเรือที่กรุงเทพ นายสีจึงฝากงานให้นายโจมได้ทำงานในอู่ นายโจมทำงานได้หกเดือนก็พาลูกกลับบ้าน มาทำไร่ทำนาเหมือนเดิม ปรากฎว่า ตอนที่กลับมา ได้มีนายเลิศ ได้เข้ามาแผ้วถางที่ของตน จึงได้ไปบอกกล่าวให้ออกไปจากที่ของตน นายเลิศก็ยอมออกไปแต่โดยดี ต่อมาปี 2524 นายโจมได้ภรรยาใหม่ชื่อนางล้อม นางล้อมมีน้องชายต่างมารดาชื่อนายทัน ได้มาขออาศัยทำไร่กับนายโจม ซึ่งนางล้อมบอกว่า จะให้นายทันมาทำไร่ เพื่อให้ช่วยแผ้วถางที่ดินที่รกร้างจะได้ทำประโยชน์ได้ โดยให้แผ้วถาง แล้วปลูกมัน ปลูกอ้อย นายโจมก็ตกลง เห็นว่าเป็นชายของภรรยาของตน ต่อมา ปี 2546 นายโจมได้จับได้ว่านางล้อม มีชู้ และได้เกิดบรรดาลโทสะเอามีฟันคอนางล้อมขาด ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปีกว่า ซึ่งระหว่างนี้ นายทันก็ได้เข้ามาอาศัยทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นจำนวน 15 ไร่ 3 งาน 55 ตารางวา เป็นเวลา 12 ปี เต็ม บรรดาน้องชายนายโจม ทราบเรื่องราว ก็ได้มาขอใบตราจองไปเก็บไว้ รอที่ชายออกจากคุกแล้วมาฟ้องบิดา คือนายใย โดยมอบหมายให้นายคำกอง เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อได้เป็นผู้จัดการมรดก นายคำกองจึงได้ดำเนินการเอาใบตราจองที่ดินจำนวน 50 ไร่ ไปของออกโฉนด และในวันรังวัด นายทันได้มาคัดค้าน ว่านายคำกองได้ออกโฉนดทับที่ของตนจำนวน 15 ไร่ 3 งาน 55 ตารางวา และได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลให้นายคำกองเพิกถอนโฉนดออกจากที่ดิน น.ส3 แปลงดังกล่าวข้างต้น นายคำกองได้สืบถามชาวบ้าน ชาวบ้านได้เล่าให้ฟังว่า ปีที่นายเลิศได้เข้ามาทำกินปี 2519 นายโจมไม่อยู่บ้านไปตามภรรยาที่กรุงเทพ นายเลิศได้ขอออกใบตราจอง ( นส.2 ) กับ ทางที่ดิน ออกมาได้ เดือนกว่า นายเลิศก็ใช้ใบจองไปร้องขอออกใบ นส.3 ทันที ระยะเวลาห่างกันไม่กี่เดือน และขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนางบุญหนา ซึ่งอยู่ในเมือง เป็นนายทุนเข้ามาซื้อ และนางบุญหนาได้มอบหมายให้คนในหมู่บ้านเข้าไปอาศัยทำกิน นายโจมเห็นนายโจมก็ไล่ให้ออกไปจากที่ดินของตน คนที่มาทำก็ออกไป แต่นายทันเข้ามาทำ นายทันได้เข้ามาขออาศัย นายทันไม่ได้บอกนายโจมว่าตนได้ซื้อสิทธิดินแปลงดังกล่าวมาจากนางบุญหนา ในราคา 40000 บาท โดนนางหนาได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว แต่นายทันไม่ได้บอกกับนายโจมว่าตนได้ซื้อสิทธิ์ดินแปลงนี้แล้ว แต่กลับตั้งใจหลอกลวงให้นายโจมคิดว่าตนได้มาขออาศัยทำกิน จนหมดอายุความ จนปี 2547 พี่น้องทุกคนต้องการแบ่งแยกที่ดิน เพื่อจะได้ นำมาแบ่งลูก ๆ อีกที นายคำกองจึงได้ไปดำเนินการตามขึ้นตอนของที่ดิน และ รอ ออกโฉนด ซึ่งคราวนี้นายทันได้ไปคัดค้าน และส่งเรือ่งฟ้องศาลให้มีคำสั่ง ให้นายคำกองเพิกถอนการออกโฉนดที่ดินของจากเนื้องที่ของตน ซึ่งทางรังวัดที่ได้ ได้มาสอบแนวเขตแล้วว่า ดินแปลงนี้เป็นของนายใย ตัวจริง แต่นายเลิศได้ออกใบตราจองในปี 2519 พร้อมกับเปลี่ยนเป็น นส3 ในปีเดียวกัน ระยะเวลาต่างกวันไม่กี่เดือน ดิฉันอยากถามว่าถ้าดิฉันผู้เป็นฝ่ายเจ้าของที่เดิม ผู้ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อนว่าที่ดินของตนโดนออกใบจองทับ และเค้าออก นส3 ไปแล้ว ได้เห็น นส3 ฉบับดังกล่าวในวันที่ได้รับหมายศาล ซึ่งนำมาปิดไว้ที่หน้าบ้าน ดิฉันจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร ให้ได้ที่ดินปลางที่เสียให้นายทัน จำนวน 15 ไร่นั้นกลับคืนมาได้ ซึ่งตนเอง ก็หาเช้ากินค่ำอยู่แล้ว บ้านก็อยู่ไกลจากที่ดิน ลูกหลาน ก็มีหลายคนมากแล้ว เรียนท่านอาจารย์ โปรดหาทางออกให้ด้วย ขณะนี้ที่ดินอยู่ระหว่างการออกโฉนดรอประกาศ และ เรือ่งกำลังถูกส่งฟ้องศาลนัดแรกในวันที่ 17 ธันวาคม 2551 ขอความกรุณาได้โปรดตอบให้ประชาชนผู้ร้องขอความเป็นธรรมให้กับ หลาน ๆ ที่บิดาตาย และนายโจมที่มีเหตุต้องไม่ได้อยู่ทำกินในที่ดินของตนเองทำให้นายทันได้อ้างสิทธิในการซื้อมาแล้วครอบครองต่อมาอย่างเปิดเผยและเจตนาเอาเป็นเจ้าของ ดิฉันอยากถามว่า ดิฉันเป็นจำเลย ดิฉันต้องทำอย่างไรบ้างคะ แล้วดิฉันจะแพ้สิทธิครอบครองไหม และ ดิฉันจะพอมีโอกาสได้ที่ดินคืนให้กับหลาน ๆ ซึ่ง นายสี ได้เสียชีวิตไปนานแล้วนายสี มีทายาทคือมีบุตรชายทั้งสองคนอายุได้ ได้ 3 ขวบ กับ 7 ซึ่งไม่สามารถเข้าไปประโยชน์ในที่ดินนั้นได้ ดังนั้นที่ดินแปลงดังกล่าวจึงปล่อยให้นายทันทำกินเรือ่ยมา จนถึงปัจจุบันxu 2551 รวมเป็นเวลา 20 ปีเศษ ซึ่งอยู่ระหว่างการฟ้องร้องกัน ณ ตอนนี้ ขออาจารย์ได้โปรดแนะนำและหาแนวทางให้กับดิฉัน เพื่อดิฉันจะได้ที่ดิน กลับคืนมามอบให้ทายาทของคนตายด้วย (นายสี ) เพื่อเด็ก ๆโตขึ้น จะได้มีครอบครัวและมีที่ทำกินต่อไป ขอของพระคุณล่วงหน้า ถ้าอาจารย์จะกรุณาตอบ คำถาม เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชีวิตให้กับ เด็ก กำพร้า 2 คนที่ต้องเสียสิทธิในที่ดินจำนวน 15 ไร่ 3 งาน และ 55 ตางรางวา ดังกล่าว ขอบพระคุณมากค่ะ