สามีกับดิฉันได้จดทะเบียนสมรสกันที่เมืองไทย หลังจากนั้นได้บินไปอยู่ที่อเมริกา มีบุตร 1 คนเกิดที่อเมริกา 6 ปีหลังจากนั้นเขาเริ่มมีความคิดจะกู้บัตรเครดิตเอาเงินมาใช้ให้มากที่สุดแล้วจะหนี้กลับเมืองไทยโดยไม่ใช้คืนธนาคาร เขาบอกให้ดิฉันร่วมมือด้วยดิฉันไม่ยอม ก็เริ่มมีปากเสียงกันตบตีดิฉันหลังจากนั้นสามีของดิฉันก็เริ่มปลอมรายเฃ็นต์ของดิฉันและส่งรายละเอียดประจำตัวของดิฉันโดยกรอกลงในใบสมัครที่ทางธนาคารส่งมาให้ ไม่นานทางธนาคารก็ส่งบัตรเครดิตมาให้สองใบคือใบหนึ่งเป็นชื่อของดิฉัน ใบที่สองเป็นชื่อของสามี ดิฉันมารู้ภายหลังได้โต้เถี้ยงกันอย่างรุนแรง และถูกตบตี สามีของดิฉันก็เลยเอาเรื่องหย่ามาขู่แล้วยังบอกว่าจะกลับเมืองไทยไม่มีการชดใช้ธนาคาร ดิฉันกลัวจะโดดจับว่าโกงทั้งที่เงินเขาเป็นคนเอาไปใช้และเป็นห่วงลูกมากเพราะกำลังเรียนอยู่ไม่รู้ภาษาไทยเลยดิฉันกลุ้มใจมาก มีคำถามจะถามอาจารย์คะ
1.เมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วดิฉันจะพาลูกกลับไปเรียนได้ไหมตอนนี้ลูกรบเร้าจะกลับไปเรียนต่อว่าทำไม่ถึงพาเขามา ลูกอายุ 13 ปี
2.เมื่อสามีทำเช่นนี้ดิฉันเป็นภรรยาก็ผิดไปด้วยหรือไม่เพราะดิฉันไม่ได้เอาเงินมาใช้เลย
3.เมื่อเป็นคดีความที่อเมริกาแล้วธนาคารทางอเมริกาจะมาจับเราได้ที่เมืองไทยได้ไหมคะ จะมายึดทรัพย์สินไหม
4.หากเป็นคดีความกี่ปีจึงจะหมดคดีความและหมดคดีความแล้วดิฉันจะพาลูกกลับไปอยู่ที่อเมริกาอีกได้ไหม
5.ดิฉันต้องการฟ้องหย่ากับสามีคนนี้จะสามารถฟ้องร้องอะไรได้บ้าง(ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว) ขอความกรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วย กราบขอบพระคุณคะ
1. ถ้ามาอยู่เมืองไทยแล้ว หากลูกคุณเป็นอเมริกัน เขาก็ย่อมกลับไปเรียนต่อได้ แต่ถ้าคุณมีหนี้สินค้างอยู่ เวลาคุณกลับไปเจ้าหนี้เขาก็คงติดตามเอาจากคุณ
2. การเอาเงินมาใช้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าคุณเป็นคนไปใช้บัตรเครดิตหรือเบิกเงินจากบัตรเครดิตนั้นด้วยตนเองหรือไม่ ถ้าไม่ก็คงไม่เป็นไร แต่ก็คงเดือดร้อนในการต่อสู้คดีไม่น้อย
3. เขาคงตามมาฟ้องได้ แต่ในทางปฏิบัติเขาคงไม่ทำเพราะอาจไม่คุ้มค่าใช้จ่าย
4. ไม่ทราบ เพราะต้องเป็นไปตามกฎหมายของเขา และขึ้นอยู่กับลักษณะแห่งหนี้สิน
5. ถ้าเขายังตบตีคุณอยู่ ก็ใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นที่อเมริกา แม้จะนำมาใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ แต่ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดนานแล้ว ก็ยากที่จะใช้เป็นข้ออ้างได้ โดยเฉพาะการหาพยานหลักฐานย่อมยุ่งยาก