ขอบเขตสิทธิตามคำสั่งทุเลาการบังคับคดี
ในปี2545 ผมมีคดีพิพาทที่ดินกับที่ข้างเคียง เนื่องจากการรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดใหม่ของผมนั้น เจ้าของที่ดินติดกันด้านหนึ่งได้ทำการคัดค้านการออกโฉนดดังกล่าวของผมต่อกรมที่ดิน โดยอ้างว่าผมชี้เขตที่ดินเกินเข้ามาในเขตของเขาเป็นพื้นที่ประมาณ 14 ตร.ว. ดังนั้นผมจึงได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อให้เขาถอนคำคัดค้านดังกล่าวออกไป ต่อมาในปี2548 ศาลชั้นต้นได้มีคำตัดสินให้ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของผมและห้ามมิให้เขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับที่ดินพิพาทดังกล่าวอีก อย่างไรก็ตามทางคู่กรณีได้อุทธรณ์และศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดี
ทั้งนี้ ในคำให้การศาลชั้นต้นนั้น ทางคู่กรณีได้กล่าวต่อศาลว่า หากที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแล้วนั้น ทางกทม.จะไม่อนุญาตให้เขาเปิดใช้อาคารซึ่งขณะนั้นกำลังปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของเขาได้ เนื่องจากที่ดินพิพาทจะทำให้อาคารที่กำลังปลูกสร้างมีระยะร่นระหว่างแนวอาคารถึงเขตที่ดินเกิน 6 ม.ตามพรบ.ควบคุมอาคาร แต่หากศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นของผมแล้วนั้น ระยะร่นดังกล่าวก็จะมีระยะเพียง 4.5 ม.เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในปี2549 ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นั้น อาคารดังกล่าวของคู่กรณีได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและมีการเปิดใช้ ซึ่งผมได้รับทราบภายหลังว่าเนื่องจากทางกทม.ได้ออกใบรับรองอาคารตามพรบ.ควบคุมอาคารให้กับคู่กรณี เปิดให้สามารถเปิดใช้อาคารได้ ทำให้ผมมีความเคลือบแคลงสงสัย จึงได้เขียนคำร้องถึงเจ้าหน้าที่กทม. โดยทางเจ้าหน้าที่กทม.ตอบกลับมาว่า ทางกทม.ไม่เคยได้รับทราบมาก่อนว่าที่ดินของอาคารมีคดีพิพาทที่ดินดังกล่าว แต่จากการตรวจสอบนั้น ทราบว่าทางเจ้าของอาคารได้ชี้เขตที่ดินในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กทม.เข้าตรวจอาคารเป็นไปตามพรบ.ควบคุมอาคารทุกประการ (ซึ่งหมายความว่าทางคู่กรณีได้ชี้เขตที่ดินเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่กทม. เกินเข้ามาในเขตที่ดินของผมภายหลังที่ศาลชั้นต้นตัดสินไปแล้ว) นอกจากนี้ ทางกทม.ได้แจ้งมาด้วยว่า ทางกทม.ได้สอบถามไปยังเจ้าของอาคารตามคำร้อง แต่ทางเจ้าของอาคารอ้างว่า ตนมีสิทธิ์บนที่ดินดังกล่าว เนื่องจากมีศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดี ดังนั้นทางกทม.เองจึงเห็นชอบที่จะอนุญาตให้เปิดใช้อาคารต่อไป ถึงแม่จะรับทราบเรื่องคดีพิพาทภายหลังก็ตาม
ดังนั้น ผมจึงได้เขียนคำร้องถึงกทม.อีกฉบับ โดยชี้แจงเหตุผลว่า ทางคู่กรณี ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่อาจอ้างคำสั่งทุเลาบังคับคดีเพื่อก่อตั้งสิทธิหรืออำนาจใหม่ ในการเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทภายหลังที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้วได้ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวคงเป็นเพียงการจำกัดสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น รวมทั้งคำสั่งทุเลาบังคับคดีหรือคำสั่งศาลนั้น ไม่น่าที่จะสามารถไปขัดต่อกฎหมายมาตราที่บัญญัติไว้ก่อนแล้วได้ ซึ่งในกรณีนี้ การอ้างคำสั่งทุเลาบังคับคดีของคู่กรณีนั้น มีจุดประสงค์เพื่อจะหลีกเลี่ยงมิให้อาคารของตนผิดความอาญาแผ่นดินตามพรบ.ควบคุมอาคาร แต่ในที่สุดทางกทม.ก็ยืนยันที่จะอนุญาตให้อาคารเปิดใช้ต่อไป ดังนั้น ผมจึงได้ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่กทม.ต่อศาลปกครองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมมีความประสงค์จะเรียนถามอาจารย์ว่า
1.ทางคู่กรณีสามารถนำอ้างคำสั่งทุเลาบังคับคดีต่อบุคคลที่สาม ในที่นี้ คิอ เจ้าหน้าที่กทม. เพื่อให้สามารถเปิดใช้อาคารภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นของผมแล้ว ได้หรือไม่
2. หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ที่ดินพิพาทเป็นของผมแล้ว ผมจะสามารถใช้วิธีการทางศาลแพ่งอย่างไร เพื่อที่มีการยกเลิกใบรับรองอาคารดังกล่าวที่คู่กรณีได้มีการนำอ้างคำสั่งทุเลาการบังคับคดีเพื่อให้ทางกทม.ออกใบรับรองอาคารให้ได้
3.หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ที่ดินพิพาทเป็นของผมแล้ว ผมจะสามารถแจ้งความเพื่อให้อัยการส่งฟ้องความผิดคดีอาญากับคู่กรณีผู้เป็นเจ้าของอาคารดังกล่าวได้หรือไม่ ตามความผิดในพรบ.ควบคุมอาคาร
ผมขอบคุณความกรุณาของอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยสละเวลาตอบข้อสงสัยผมและให้กับคนทั่วไปมาโดยตลอด
ขอแสดงความนับถือ
คนสวนเมืองกรุง |