เรียนอาจารย์มีชัย ที่เคารพ
ดิฉันมีความทุกข์ใจมาก ปัญหาของดิฉันคือ หลังจากแต่งงานจดทะเบียนกับสามี ประมาณ ๓ ปีกว่า มีบุตรด้วยกัน ๑ คน อายุ ๓ ขวบเศษ สามีมีพฤติกรรม แตกต่างจากก่อนแต่งมาก คือดิฉันเคยจับได้ว่าเค้ามีผู้หญิงอื่นในสองสามปีก่อน และให้อภัยไปแล้วครั้งหนึ่ง (แม่ของสามีก็ช่วยเคลียร์ให้) จากนั้นดิฉันก็พบพฤติกรรมที่เค้ามียาที่น่าจะผิดกฏหมายที่ใช้สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งดิฉันได้เคยเตือนเค้าว่าให้เลิก และระวังจะเกิดปัญหา และดิฉันไม่ไว้ใจเค้า และบอกให้ไปตรวจและขอใบรับรองแพทย์เพื่อความสบายใจ (เพราะดิฉันกลัวติดโรค) แต่เขาก็ไม่ทำและไม่เคยอธิบายอะไรนอกจากปฏิเสธว่าเป็นของเพื่อน ตลอด 2 ปีกว่าเราไม่ได้หลับนอนด้วยกันฉันสามีภรรยา และเค้าไม่เคยคิดจะเคลียร์ปัญหาเพื่อสร้างความเข้าใจดีขึ้น ดิฉันทำหน้าที่ดูแลลูก และเวลามีปากเสียงก็มักลงมือทำร้ายร่างกาย ดิฉันเคยบอกว่าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก จะไม่ยอมทนอีกต่อไป ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อนดิฉันจับได้ว่าเขากำลังคบกับหญิงอื่น และมีหลักฐานเป็นภาพนิ่งและข้อความที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย เขามักไม่อยู่บ้านในวันหยุดและกลับบ้านดึกเสมอ อ้างว่าไปธุระ และดิฉันรู้มาว่าเขาไปทำธุรกรรมจัดตั้ง หจก.กับเพื่อนโดยไม่เคยปรึกษา ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม และชอบท้าหย่าและพูดว่าจะไม่ยกอะไรให้เลย จนล่าสุดดิฉันมาเจอหลักฐานเรื่องชู้สาว ซึ่งครั้งนี้เป็นความผิดครั้งที่สามและดิฉันคิดว่าไม่ให้อภัย และทนต่อไปอีกไม่ได้ ดิฉันอยากเรียนถามดังนี้ค่ะ
1) ดิฉันจะใช้หลักฐานที่มีเพียงพอต่อการฟ้องหย่าสามีและชู้เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่ค่ะ การไม่ได้หลับนอนด้วยกันฉันสามีภรรยา หรืออุปการะส่งเสียเลี้ยงดูฉันสามีภรรยา จะทำให้เข้าเหตุฟ้องหย่าได้ด้วยหรือไม่
2) ทรัพย์สินที่ได้มาก่อนจดทะเบียน ดิฉันจะมีสิทธิฟ้องให้ลูกได้หรือไม่ เช่นบ้านกรรมสิทธิ์เป็นของสามี และเป็นผู้กู้ สามารถแบ่งกันละครึ่ง หรือดิฉันจะเกี่ยงให้เขาทำหนังสือยกบ้านให้เพื่อให้ดิฉันผ่อนส่งต่อกับธนาคาร รวมทั้งทรัพย์สินอื่น เช่นรถยนต์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เพื่อลูกได้หรือไม่
3) ดิฉันจะขอให้เขาส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรด้วยได้หรือไม่ ถ้าได้ เราเป็นคนกำหนดตัวเงินหรือศาลค่ะ
ขอขอบคุณค่ะ
เรียน คุณธัญญา
1. เมื่อผสมผสานกันทุกเรื่อง ก็เป็นเหตุเพียงพอที่จะฟ้องหย่าได้
2. คุณมีสิทธิที่จะเรียกร้องเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูตัวคุณและบุตรได้ โดยคุณมีสิทธิกำหนดวงเงินหรือทรัพย์สินได้ แต่ทั้งหมดก็จะอยู่ที่ศาลว่าจะเห็นว่าเพียงใดจึงจะเหมาะสม
เรื่องที่ถามมานี้ เมื่อปรึกษากับทนายความแล้ว เขาคงบอกรายละเอียดได้หรอก