จะต่อสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารหรือผู้เช่าช่วง ถึงจะถูกต้องตามกฎหมาย
ขอเรียนถามอาจารย์มีชัย
บรษัท ก เป็นเจ้าของอาคาร 2 ชั้น โดยทำสัญญาให้เช่าช่วง กับบริษัท ข เช่าพื้นที่ชั้น 2 แล้วนำไปแบ่งเป็นล็อค ให้ร้านค้ามาเช่าพื้นที่ต่ออีกทอดหนึ่ง ซึ่งสาระสำคัญในสัญญาให้เช่าช่วงหลัก คือ บริษัท ก จะเป็นผู้ก่อสร้างอาคารและให้บริษัท ข ลงทุนในระบบสาธารณูปโภคประมาณ 5 ล้านบาท สัญญาเช่า 3 ปี (เริ่ม 1/11/2548) เมื่อครบกำหนดจะต่อสัญญาเช่าให้อีก 3 ปี ดังนั้น บริษัท ข จึงตกลงทำสัญญาเช่าช่วงพื้นที่อาคารชั้น 2 ต่อมา บริษัท ก ก่อสร้างอาคารผิดแบบที่ขออนุญาตกับการโยธา เป็นเหตุให้ บริษัท ข ไม่สามารถเรียกเก็บค่าเช่าจากร้านค้าได้ตามที่ตกลงกัน และจำเป็นต้องลดค่าเช่าให้ร้านค้า จึงได้ต่อรองของลดค่าเช่ากับบริษัท ก แต่ถูกปฎิเสธ เป็นเหตุให้ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2550 บริษัท ข จึงไม่จ่ายค่าเช่าให้บริษัท ก แต่ร้านค้ายังคงจ่ายค่าเช่าหลังหักส่วนลดแล้วให้กับ บริษัท ข ตามปกติ บริษัท ก จึงได้ดำเนินการฟ้องร้องคดี ดังนี้
11/7/2550 บริษัท ก เป็นโจทก์ ยื่นคำฟ้องที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ฟ้องบริษัท ข ฐานผิดสัญญาเช่า ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย โดยขอให้บังคับจำเลย คือบริษัท ข และบริวาร (ร้านค้าซึ่งปฎิบัติตามสัญญาเช่าและชำระค่าเช่าครบถ้วน)ขนย้ายทรัพย์สินออกจากสถานที่เช่า และให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างชำระและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
11/7/2550 คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยบริษัท ก ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ บริษัท ข นำเงินค่าเช่า ค่าภาษีต่างๆ พร้อมค่าปรับตามฟ้อง และรายได้ค่าเช่าจนกว่าคดีจะสิ้นสุด มาวางต่อศาล หรือให้จำเลยหาหลักประกันมาวางเป็นประกันการชำระหนี้ต่อศาล
1/8/2550 คำร้อง คัดค้านคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว บริษัท ข ขอคัดค้าคำร้องของโจทก์ ด้วยเหตุที่สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลย เป็นสัญญาต่างตอบแทน ไม่ใช่สัญญาเช่าธรรมดาที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญา และโจทก์เป็นฝ่ายทำผิดสัญญาก่อน ซึ่งจำเลยได้มีการวางเงินประกันการเช่าอยู่กับโจทก์ จำนวน 1.5 ล้านบาท และจำเลยได้ลงทุก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค /ทำร้านค้าอีกประมาณ 5 ล้านบาท หากที่สุดแล้วจำเลยแพ้คดี จะสามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้อย่างแน่นอน
1/4/2551 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาให้โจทก์และจำเลยนำเงิน 2 ล้านมาวางประกันความเสียหายไว้ที่ศาลภายใน 7 วัน หากจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีก็จะคืนให้แก่จำเลย
25/7/2551 ศาลจังหวัดนนทบุรีมีหมายแจ้งคำสั่ง(ปิดหมาย) ให้จำเลยนำเงินประกันความเสียหาย 2 ล้านบาทมาวางที่ศาล ศาลจังหวัดนนทบุรีจึงจะพิจารณาคดีต่อไป หากจำเลยชชนะคดีจะคืนเงินให้แก่จำเลย
ต่อมา จำเลยได้นำเรื่องการวางเงินประกัน 2 ล้าน สู่ศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีการับคำฟ้องไว้แล้วแต่ยังไม่ได้พิจารณาคดี
ร้านค้าผู้เช่าโดยสุจริต ขอเรียนถามว่า จะครบกำหนดสัญญาเช่าวันที่ 30/10/2551 จะต้องต่อสัญญาเช่าคราวละ 1 ปี โดยทั้งบริษัท ก อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในอาคาร และ บริษัท ข อ้างว่าตนยังมีสิทธิครอบครองจนกว่าศาลจะพิพากษาคดีถึงที่สุดซึ่งต่องใช้เวลาประมาณ 3 ปี โดยร้านค้าจะต้องชำระเงินตามเงื่อนไขดังนี้
ถ้าต่อสัญญากับบริษัท ก ต้องจ่ายเงินประกันการเช่า 2 เดือน 13,000 บาท ภายใน 30/9/2551 และจ่ายค่าเช่ารายเดือนตามสัญญาเดิม หากไม่ต่อสัญญากับเจ้าของอาคาร จะตัดสิทธิ์นำพื้นที่ของร้านค้า ให้บุคคลภายนอกเช่าดำเนินการในทันที หากยังขายสินค้าต่อไปจะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุก นำกุญแจมาล็อคร้านค้าและตัดน้ำตัดไฟ ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมากกับร้านค้าประมาณ 150 ราย
ถ้าต่อสัญญากับบริษัท ข ต้องจ่ายค่าเซ้ง 30,000 บาท ภายในวันที่ 15/9/2551 และจ่ายค่าเช่ารายเดือนตามสัญญาเดิมแต่มีส่วนลดให้ตามข้างต้น หากไม่ต่อสัญญากับบริษัท ข จะไม่ให้ขายสินค้าในพื้นที่และจะแจ้งความในข้อหาบุกรุก ทำให้เกิดความเสี่ยหายกับร้านค้าเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่ร้านค้าควรปฎิบัติ จะต้องต่อสัญญาเช้าร้านค้ากับใคร จึงจะถูกต้องตามกฎหมาย และค้าขายได้ตามปกติสุข เนื่องจากร้านค้ามิได้เป็นผู้ผิดสัญญาเช่าแต่อย่างใด ตอนนี้เราถูกรังแกไม่มีทางออก ปรึกษาทนายความ 3 คน มีความเห็นแตกต่างกัน ขอความกรุณาให้อาจารย์มีชัยช่วยตอบคำถามให้ด้วยภายในวันที่ 12/9/2551 มิฉะนั้นจะไม่ทัน ขอพระคุณมากค่ะ |