เรียน อาจารย์มีชัย ที่เคารพ
เมื่อปิดภาคฤดูร้อนที่ผ่านมาลูกชาย(อายุ ๑๙ ปี เรียนมหาวิทยาลัยฯ อยู่ปี ๒) ไปเข้าค่ายอบรมภาษาอังกฤษอยู่เดือนหนึ่ง (ที่ยะลา/บ้านอยู่สายบุรี ปัตตานี) เสร็จการอบรมฯก็ไปเที่ยวบ้านญาติที่หาดใหญ่กับเพื่อนที่เข้าค่ายฯด้วยกัน ขากลับ กลับรถไฟมาลงยะลา เป็นเวลาเย็นแล้วไม่มีรถกลับ เพื่อนที่ไปด้วยมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานแล้ว(เป็นครูช่าง) เช่าบ้านอยู่ยะลาจึงไปขออาศัยนอน วันนั้นตรงกับวันพฤหัสฯ ที่ ๑ พค.ซึ่งจะมีการแข่งขันฟุบอล(ทีวี) ในเวลาหลังเที่ยงคืน ในขณะที่คุยกัน เจ้าของบ้านขอตัวนอนก่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปสอน เวลานั้นมีเพื่อนเจ้าของบ้านนั่งร่วมคุยอยู่ด้วยคนหนึ่ง (เช่าบ้านห้องแถวอยู่ฝั่งตรงข้าม) จึงชวนไปดูที่บ้านที่เขาเช่าอยู่ ตกดึกตำรวจมาเคาะประตู ตรวจค้นในบ้านพบใบพืชกระท่อมแห้งๆ ๑๒ ใบ ตั้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งฟ้องศาล เจ้าของบ้านรับว่าเป็นของเขาเอง ศาลสั่งปรับ ๖๐๐ บาท ส่วนลูกชายกับเพื่อนปฏิเสธ แยกฟ้องต่างหาก ศาลนัดมาแล้วครั้งหนึ่ง ผู้พิพากษาถามว่าทั้งสองคนกำลังเรียนอยู่ใช่ไหม จะสู้คดีหรือ ถ้าต้องอุทรอาจเป็นสามปีมันจะคุ้มกันหรือ แล้วก็ขออัยการให้จำเลยไปปรึกษากับทนาย(ศาลแต่งตั้งให้) ก่อนอีกครั้ง ซึ่งอัยการก็ยอม และนัดอีกครั้งในวันที่ ๑๒ กย.นี้ (ความโดยสรุป) อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ไปพบทนาย ซึ่งให้คำแนะนำว่าน่าจะให้เด็กรับแล้วเสียค่าปรับ ซึ่งไม่ได้มากมายอะไร สู้ไปก็ไม่แน่ว่าจะชนะ
จนวันนี้ผมไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
- ถ้าจะให้ลูกรับ(ตามคำแนะนำทนาย) เสียค่าปรับไม่กี่บาทก็จริง แต่ในแง่ประวัติของลูกจะถูกบันทึกไว้ในทะเบียนประวัติอาชญากรรมหรือไม่ ถ้าบันทึกในอนาคตจะมีผลอย่าง
อาจารย์ฯช่วยให้คำแนะนำด้วยครับ
ขอขอบคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้
ขอแสดงความนับถือ
ถ้ารับสารภาพและศาลสั่งปรับ การบันทึกเป็นประวัตินั้นก็คงมีแน่ และแม้จะไม่มีผลอะไรมากนักต่อการรับราชการ แต่ถ้าวันหนึ่งไปเล่นการเมือง คนเขาโจมตีว่าเคยครอบครองยาเสพติด (ใบกระท่อม) ก็อาจเสียหายได้ แต่ถ้าสู้คดีไป ก็คงใช้เวลานานอยู่ อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย จึงต้องขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในฐานะที่จะเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือไม่