กระผมขอปรึกษาท่านอาจารย์ช่วยกรุณาตอบให้ด้วย เนื่องจากกระผมและทายาทโดยชอบธรรมไม่ได้รับความ เป็นธรรม จากคนที่ได้ชื่อว่าภรรยาของบิดากระผม ขอเริ่มต้นเลยสมัยที่บิดายังมีชีวิตอยู่ได้มีภรรยาต่างวาระกัน จำนวน 3 คน ซึ่งได้หย่าขาดกันไปแล้ว 2 คน ตามลำดับดังต่อไปนี้- ภรรยาคนที่ 1 (ได้จดทะเบียนหย่าขาดกัน เมื่อปี พ.ศ.2518) มีบุตรร่วมกัน 7 คน บุตรทุกคนบรรลุนิติภาวะแล้ว- ภรรยาคนที่ 2 (ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โดยได้เลิกกัน เมื่อปี พ.ศ.2540) มีบุตรร่วมกัน 2 คน บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ - ภรรยาคนที่ 3 (จดทะเบียนสมรส เมื่อปี พ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน) มีบุตรร่วมกัน 2 คน บุตรทั้ง 2 คน ยังไม่บรรลุ นิติภาวะสมัยเมื่อบิดาเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้ทำกิจการโครงการบ้านจัดสรร เมื่อปี พ.ศ.2537 โดยบิดาได้นำที่ดินของบิดาขายให้กับภรรยาคนที่ 2 และภรรยาคนที่ 2 ได้ออกเช็คให้กับบิดาเป็นจำนวน 20 ล้านบาท แต่บิดายังไม่นำเช็คไปขึ้นเงิน (ในปัจจุบันเช็คหมดอายุความแล้ว) เนื่องจากเป็นการซื้อขายกันในนามเท่านั้น เพื่อที่จะได้ให้ญาติภรรยาคนที่ 2 นำที่ดินเข้าไปกู้เงินกับธนาคารได้มากขึ้น ไม่ได้มีการซื้อขายกันจริงและที่ดินก็ได้เป็นชื่อภรรยาคนที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ไว้ต่อมาบิดาได้ไปจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน (บิดาเป็นผู้จัดการห้างฯ) ร่วมกับญาติของภรรยาคนที่ 2 ซึ่งมีความสามารถทางด้านการเงินกับทางธนาคาร และกับภรรยาคน ที่ 2 (ทั้งหมดร่วมลงทุนเป็นเงินลม) รวมเป็น 3 หุ้น ในเวลาต่อมาบิดาได้นำที่ดิน(ที่ภรรยาคนที่ 2 ถือกรรมสิทธิ) เข้าร่วมห้างหุ้นส่วนแล้วนำไปกู้กับธนาคารได้มา 20 ล้านบาท และบิดาได้จัดทำสัญญาร่วมทุนกับญาติภรรยาคนที่ 2 และภรรยาคนที่ 2 โดยสัญญาระบุให้บิดาเท่านั้นที่จะมีสิทธิดำเนินการเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน และบิดาได้นำเงิน 20 ล้านบาท ไปใช้ในการลงทุนจัดสร้างบ้านจัดสรรจนแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ.2540 ซึ่งบิดาได้ขายบ้านจัดสรรได้ไปเป็นบางส่วน และบางส่วนก็ยังขายไม่ได้จนถึงปัจจุบัน โดยหุ้นส่วนทุกคน ไม่ได้เคยมาดำเนินการร่วมเกี่ยวกับกิจการเลย ( โดยได้รับค่านายหน้าไปแล้ว) ในที่สุดบิดาก็ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี พ.ศ.2551 โดยเงินที่ได้กู้มาจำนวน 20 ล้านบาท ยังไม่ได้มีการชำระหนี้กับทางธนาคาร ตั้งแต่เริ่มกู้มา
มีอีกรายการหนึ่งครับ คือว่า บิดาก็มีบ้านและที่ดินเป็นของตนเองอยู่ต่างหากอีก 3 แปลง ซึ่งเป็นทรัพย์สินเมื่อปี พ.ศ.2539 ต่อมาบิดาได้โอนให้น้องสาวของบิดาไป 1 แปลง ( เพื่อหลบซ่อนสินทรัพย์ไม่มีการซื้อขาย ) ต่อมาในปี พ.ศ.2543 บิดาได้ขายบ้านและที่ดินของบิดาให้กับเพื่อนของบิดา จำนวน 2 แปลง ที่เหลือเป็นการซื้อขายกันในนามเท่านั้นไม่ได้ซื้อขายกันจริง(เพื่อหลบซ่อนสินทรัพย์) แล้วในปี พ.ศ.2545 เพื่อนของบิดาได้ขายที่ดินให้กับบุตรคนที่ 1 ของบิดาเป็นในนามเท่านั้นไม่ได้ซื้อขายจริง ซึ่งในตอนนี้บ้านและที่ดินดังกล่าว จำนวน 2 แปลง ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของบุตรคนที่ 1 โดยในระหว่างที่อยู่กินกันเป็นสามีภรรยากันกับภรรยาคนที่ 2 บิดาได้สัญญาโดยวาจาต่อหน้าเพื่อนของบิดาหลายคนว่าจะยกบ้านพร้อมที่ดินจำนวน 2 แปลงของบิดาให้กับภรรยาคนที่ 3 และบุตรของภรรยาคนที่ 3 (ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้)
ดังนั้น ทางทายาทจึงได้ดำเนินการจัดตั้ง ผู้จัดการมรดก โดยมีผู้จัดการมรดก คือ บุตรคนที่ 1
3. ภรรยาคนที่ 2 ได้ดำเนินการโต้แย้งสิทธิไม่ยินยอมให้ทายาทโดยชอบธรรมได้รับทรัพย์สินร่วมกับทางห้างหุ้นส่วน อ้างว่าบิดาได้ขายที่ดินให้กับภรรยาคนที่ 2 ไปแล้ว และบิดาได้เสียชีวิตไปแล้ว ทายาทไม่มีสิทธิร่วมในทรัพย์สินกับทางห้างหุ้นส่วน ใช่หรือไม่เพียงใด
4. หากใช้เซ็คที่บิดาได้รับมาแต่ยังไม่นำไปขึ้นเงินมาต่อสู้เพื่อให้หุ้นส่วนร่วมตกไปจะได้ไหมเพียงใด5. ผู้จัดการมรดก จะต้องไปดำเนินการอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับกิจการของห้างหุ้นส่วนเพราะคงจะต้องปิดกิจการและขายทรัพย์สินไปเพื่อชำระหนี้ที่ได้ค้างอยู่ โดยจะขอลดดอกเบี้ยกันธนาคารจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง6. ภรรยาคนที่ 3 และบุตรที่เกิดกับภรรยาคนที่ 3 ทั้ง 2 คน สามารถได้รับบ้านและที่ดินของบิดาที่ได้เคยพูดไว้(โดยไม่ได้ทำพินัยกรรม แต่อ้างว่าเพื่อนบิดาเป็นพยาน) ได้ทั้งหมดเลย โดยบุตรอื่นๆ ไม่ได้รับมรดกเลยใช่หรือไม่เพียงใด7. ถ้ามีการฟ้องร้องในเรื่องบ้านและที่ดินของบิดา บุตรคนที่ 1 และเพื่อนของบิดา ที่มีการซื้อขายกันในนาม จะมีผลทางกฎหมาย หรือไม่เพียงใด
8. บิดาได้ขอที่ดินที่โอนให้น้องสาวคืนแต่น้องสาวไม่ยอมคืนให้ ผู้จัดการมรดกมีสิทธิฟ้องร้องคืนได้ไหม
9. การสืบหาทรัพย์สินจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไรได้บ้าง (ที่ได้หลบซ่อนไว้)10. ค่าวิชาชีพทนายความ คิดค่าว่าความจำนวน 10 % ของทรัพย์สินที่เหลือสุทธิเหมาะสมไหมครับ (หากได้ประมาณ 1 ล้านบาท)
11. ค่าธรรมเนียมฤชาของศาล (หากมีการฟ้องร้องกัน และประนีประนอม) จะต้องเสียเท่าไรอย่างไรบ้าง
ซึ่งจากใจจริงของกระผมก็อยากที่จะให้มีการประนีประนอมยอมความกัน แต่ก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว จึงใคร่ขอเรียนปรึกษาเพื่อไว้ดำเนินการให้ถูกต้องและให้มีความเป็นธรรมแก่ทายาทเท่าเทียมกันทุกคน และกราบขออภัยหากใช้คำพูดไม่ถูกต้อง และคำถามมากไปกราบขอบพระคุณท่านที่ให้ความกระจ่างแก่กระผมเป็นอย่างยิ่ง
จากคำถามที่ถามมาแสดงว่ามีความเข้าใจข้อกฎหมายไม่ถูกต้องอย่างมาก หากตอบไป ก็จะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและเสียหายได้ ทางที่ดีควรปรึกษากับทนายความจะเหมาะสมกว่า