เรียน ท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ ที่เคารพอย่างสูง
กระผมมีเรื่องเรียนปรึกษาท่านดังนี้ ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2551 น้องชายของผม อายุ 17 ปีได้ขี่รถจักรยานยนต์เพื่อที่จะไปทำงานในช่วงที่ปิดเทอม ระหว่างทางที่จะถึงที่ทำงาน ปรากฎว่ามีเด็กผู้หญิงอายุ 10 ขวบ ได้ขี่รถจักรยานเลี้ยวตัดหน้าในระยะที่กระชั้นชิด (ตามที่น้องของกระผมเล่าให้ฟัง และคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงที่เขาบอกว่าเขาเห็นเหตุการณ์บอกเล่าให้ฟัง แต่เขาไม่ยอมที่จะมาให้การเป็นพยาน) น้องผมเล่าว่าตอนนั้นก็เห็นเด็กขี่รถจักรยานอยู่ข้างหน้า 2 คน คนหนึ่งอยู่ขอบถนนอีกฝากหนึ่งของถนน แต่อีกคนคือคนที่อายุ 10 ขวบที่ถูกชนยังอยู่ในช่องทางเดียวกับที่น้องผมอยู่และขี่ไปในทิศทางเดียวกัน แต่น้องของกระผมไม่คาดคิดว่าจะเลี้ยวเพราะไม่มีสัญญาณที่บ่งบอกว่าจะเลี้ยว จึงคิดที่จะขี่แซงไปข้างหน้า แต่พอถึงจุดเกิดเหตุเด็กคนนั้นได้เลี้ยวรถตัดหน้าอย่างกระทันหัน ทำให้ไม่สามารถหยุดรถหรือหลบหลีกได้ทัน จึงชนกับรถจักรยานของเด็กคนนั้น โดยที่รถจักรยานยนต์ของน้องกระผมไม่ได้ล้มแต่อย่างใด การขับขี่รถของน้องกระผมในขณะนั้นก็ขับขี่ด้วยความเร็วตามปกติวิสัยของเขาเอง เหตุเกิดบนถนนสายหลัก การชนนั้นชนบริเวณด้านข้างข้างขวาของล้อหลังของรถจักรยาน เด็กขาหักบริเวณหัวเข่าข้างซ้าย อาจเนื่องจากกระแทกกับพื้นถนน หลังจากการชน น้องผมก็เข้ามาดูและเรียกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงให้เรียกรถกู้ภัยและตามไปส่งที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ต่อมาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดน่าน หลังจากนั้นพ่อกับแม่ของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อทำการบันทึกประจำวันไว้ แต่ไม่ได้ออกมาดูที่เกิดเหตุแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องค่าเสียหาย พ่อของฝ่ายผู้เสียหายเรียกร้องเงินค่าเสียหายเป็นจำนวน 100,000 บาท จึงทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจากเป็นการเรียกร้องมากเกินความสามารถที่ฝ่ายผมจะให้ได้ เพราะครอบครัวของกระผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา มีอาชีพทำการเกษตร ไม่ได้มีฐานะที่ร่ำรวยอะไร เขาจึงอ้างว่าจะฟ้องศาล ฝ่ายกระผมจึงไม่เจรจาอีกเนื่องจากฝ่ายผู้เสียหายเรียกร้องมากเกินกว่าเหตุ (ตามความรู้สึกของฝ่ายกระผม) ฝ่ายผู้เสียหายอ้างว่าต้องเสียค่าผ่าตัดหลายหมื่นบาท จะต้องทำการตรวจเช็คสมองด้วยเครื่องสแกนสมอง ต้องเสียค่าห้องพิเศษ เสียค่าทำมาหากินของเขาที่อ้างว่ามีรายได้วันละ ประมาณ 1,000 บาท และเด็กไม่สามารถที่จะช่วย แคะ ขนมบรรจุถุงได้ เขามีอาชีพทำขนมขายที่ตลาด เขาต้องเดินทางไปเยี่ยมและดูแลลูกที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดน่าน ต้องเสียค่าเติมน้ำมันรถยนต์ประมาณ ครั้งละ 500 บาท ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอที่เกิดเหตุ ประมาณ 60 กิโลเมตรทุกวัน ช่วงที่เด็กรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลฝ่ายกระผมได้เดินทางไปเยี่ยมเด็กที่เจ็บ 2-3 ครั้ง ทุกครั้งจะให้เงิน 200-300 ร้อยบาท เนื่องจากครอบครัวของฝ่ายกระผมไม่ใช่คนที่มีฐานะรำรวยอะไร เพื่อเป็นค่าขนมค่าและค่ากับข้าวคนที่เฝ้า เด็กนอนที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ประมาณ 20 วัน( นอนห้องพิเศษ 16 วัน ห้องธรรมดา 5 ) ขณะนี้เด็กที่ถูกชนได้กลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้านแล้ว สามารถเดิน ไป มา ได้โดยใช้ไม้ค้ำยันช่วย ฝ่ายผู้เสียหายพยายามที่จะอ้างเรื่องการฟ้องศาลมาตลอด เพื่อให้ได้เงินค่าเสียหาย จำนวน 100,000 บาทตามที่เขาต้องการ แต่จากการสอบถามพยาบาลที่ห้องการเงินเขาบอกว่าสามารถใช้สิทธิบัตรของเด็ก และของประกันภัยรถจักรยานยนต์ได้ ในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลต่างๆ การเจราจาครั้งที่ 2 หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปประมาณ 2 เดือน เขาเรียกร้อง จำนวน 50,000 บาท ฝ่ายผมจึงเสนอให้ 10,000 บาทเพราะฝ่ายผมไม่มีเงินมากขนาดนั้น ฝ่ายเขาไม่ยอมอ้างว่าเขาต้องเสียรายได้ช่วง 2 เดือนมานี้ไปประมาณ 30,000-40,000 บาทแล้ว ซึ่งดูๆแล้วไม่น่าจะถึงขนาดนั้นเพราะพิจารณาจากสังคมบ้านนอกแบบนี้แล้ว นอกจากข้าราชการระดับสูงเท่านั้นที่มีรายได้มากขนาดนี้ ลำพังคนที่ค้าขายตามตลาด เก็บผักเก็บหญ้าขายคงไม่มีรายได้มากขนาดนี้และก็ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่จะต้องไปเฝ้าลูกของเขาญาติพี่น้องเขา พ่อ แม่ ของเขาก็ไปเฝ้าได้และก็เป็นเช่นนั้นจริงไม่จำเป็นต้องเป็นเขาที่ไปทุกวัน แต่ฝ่ายเขาอ้างว่าได้ให้ทนายของเขาเตรียมเอกสารต่างๆไว้แล้วเพื่อทำการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เขาต้องขาดรายได้ และตอนนี้เขาได้ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการฟ้องศาลแล้ว เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วพนักงานสอบสวนได้นำตัวน้องกระผมไปที่ศาลประจำจังหวัดน่าน แต่อัยการบอกว่าน้องของกระผม อายุยังไม่ถึง 20 ปี ต้องขึ้นศาลเด็ก พนักงานสอบสวนยังทำสำนวนไม่ถูกต้อง ให้กลับมาทำใหม่
กระผมขอเรียนปรึกษาท่านว่า คดีนี้ฝ่ายของกระผมจะต้องทำอย่างไรบ้าง ฝ่ายผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรได้บ้างและได้แค่ไหน แนวทางผลของคดีจะออกมาอย่างไร ลักษณะของคดีแบบนี้เคยเกิดขึ้นหรือไม่และผลของคำพิพากษาเป็นอย่างไร ขอท่านได้โปรดชี้แนะและให้คำแนะนำกับฝ่ายของกระผมด้วยในทุกๆประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ได้ยกมานี้ เพราะฝ่ายกระผมไม่มีที่ปรึกษาทางด้านคดีความ และตอนนี้พ่อกับแม่ของกระผมเป็นกังวลกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
จึงเรียนมาเพื่อโปรดอนุเคราะห์ให้คำปรึกษา จักเป็นพระคุณอย่างสูง
เรียน คนเรียนกฎหมายมาน้อย
ถ้าคุณเคยเรียนกฎหมายก็ต้องรู้บทสันนิษฐานของกฎหมายที่ว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุระหว่างคนที่ขับขี่เครื่องจักรกลกับคนที่ไม่ได้ใช้เครื่องจักรกลนั้น กฎหมายสันนิษฐานว่าคนที่ขับขี่เครื่องจักรกลประมาท และเมื่อพิจารณาตามเรื่องที่เล่ามา ก็น่าเชื่อว่าน้องของคุณประมาท คือแซงขึ้นไป ดังนั้นคุณจึงอยู่ในฐานะเสียเปรียบ ทางที่ดีจึงควรเจรจากับผู้เสียหาย โดยอาศัยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน จะปลอดภัยกว่า