ภาษีผลผลิตการเกษตร
เรียน อ.มีชัย ผมมีข้อสงสัยแล้วไม่รู้จะแก้ปัญหาเช่นไร
เรื่องมีอยู่ว่า พ่อแม่ของผมมีอาชีพค้าขายยางแผ่นและเศษยางพาราโดยเป็นพ่อค้าคนกลางระหว่างชาวสวนกับโรงงานยางพาราชื่อดัง ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน
พ่อแม่ผมค้าขายอยู่กับโรงงานนี้มาหลายปี โดยได้จ่ายภาษีแบบเหมาจ่าย ต่อมาเมื่อกลางปี2550 ปรากฎว่า ทางกรมสรรพากรได้แจ้งมาว่า พ่อแม่ของกระผมได้ค้างชำระภาษีเฉพาะปี2548 เป็นเงินเกือบสองล้านบาท เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ของผมนอนไม่หลับอยู่หลายเดือน ผมสงสารพ่อแม่ผมมาก แต่ผมก็ไม่รู้จะทำเช่นไร เนื่องจากผมก็ยังศึกษาอยู่ชั้นอุดมศึกษาเท่านั้น
ผมมาทราบภายหลังว่าสาเหตุที่พ่อแม่ของผมต้องเสียภาษีมากมายขนาดนั้นเพราะ โรงงานได้ไปฟ้องภาษีกลับเป็นเงินกว่าร้อยล้านบาท เป็นเหตุให้ทางกรมสรรพากรไปขอหมายศาลเพื่อไปนำข้อมูลยอดค้าขายของบริษัท แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาเรียกเก็บภาษีจากลูกค้าของบริษัทโดยคิดอัตราภาษีร้อยละห้าจากรายได้(ทั้งจากกำไร ขาดทุนและต้นทุน)
นั้นคือเป็นการคิดจากเงินที่หมุนเวียน ซึ่งในระยะเวลาสี่-ห้าปีที่ผ่านมาราคายางพาราสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องใช้ทุนมากขึ้นโดยได้ไปกู้เงินมาหมุ่นทั้งในระบบและนอกระบบซึ่งเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูง กำไรที่ได้ไม่ได้สูงตามราคาที่สูงขึ้น บางครั้งก็ได้ยินพ่อแม่บ่นว่า ไม่ได้อะไรเลย-เสมอตัว
ผมมารู้อีกเรื่องหนึ่งคือ ชื่อพ่อแม่ของผม ถูกทางโรงงานนำไปจดทะเบียนว่าเป็นชาวสวน แทนที่จะเป็นลูกค้า ซึ่งพ่อแม่ของผมเพิ่งจะทราบเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเท่ากับว่า/เหมือนกับว่าพ่อแม่ผมได้กำไรอย่างมากมาย แต่แท้ที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ทางโรงงานเองก็ต้องเสียภาษีย้อนหลัง แต่จำนวนเงินที่เสียภาษีนั้นแค่เพียงสามแสนกว่าบาท เหตุที่เสียเท่านี้ผมเข้าใจว่าเขาอาจจะคิดมาจากกำไรสุทธิที่โรงงานได้ เป็นจุดที่น่าคิดว่าการเก็บภาษีช่างไม่ยุติธรรม ลดหย่อนก็ไม่ได้
การที่เสียพ่อแม่ผมเสียภาษีมากมายขนาดนั้นทำให้การค้าขายถึงกับซะงัก เนื่องจากทุ่นที่จะนำมาหมุนเวียนน้อยลง ผมสังเกตดูพ่อแม่ ผมรู้สึกว่าพ่อแม่ผมท้อ พอผมไปถามแม่ว่าจะทำไงต่อไป จะหยุดดีไหม แม่ผมบอกว่าถ้าหยุดแล้วจะไปทำงานอะไร อายุก็มากแล้ว ภาษีก็ต้องชำระ ต้องทำงานใช้หนี้ภาษี ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใช้ จะปล่อยให้ภาษีตกมาเป็นภาระของผมกับน้องต้องมาชดใช้ในอนาคตไม่ได้
และแล้วพ่อแม่ของผมก็ต้องยอมจ่ายภาษีย้อนหลังของปี2548 เนื่องจากว่า หากไม่รีบเสีย ก็จะถูกเก็บเพิ่งเหมือนกับการเสียดอกเบี้ย
ผมได้รู้จากพ่อทีหลังว่า แม่ของผมนอนร้องไห้ทุกคืน แล้วก็ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่มหาลัย(เทอมหนึ่งปีหนึ่ง) แม่ผมเป็นลมต้องไปเข้าโรงพยาบาล ซึ่งแม่ผมไม่เคยบอกผมเลย เขาคงกลัวว่าผมจะไม่สบายใจไม่มีสมาธิเรียน การที่แม่ผมป่วยทำให้ผมนึกถึงคำพูดของคนโบราณที่ว่า ภาษีเป็นโทษต่อคนขยัน แต่เป็นรางวัลของคนขี้เกียจ นี่คงจะเป็นจริง
พอพ่อแม่ของผมรู้ว่าต้องภาษีเช่นนี้แล้ว พ่อแม่ผมก็พยายามปรับเปลี่ยนการค้าขาย พยายามทำกำไรเผื่อภาษี ซึ่งแน่นอนต้องซื้อในราคาที่ถูกกว่าผู้ค้ารายอื่น(เนื่องจากพ่อค้าคนกลางซึ่งเป็นลูกค้าบางโรงงานไม่ต้องเผื่อภาษี เนื่องจากทางโรงงานไม่ได้ถูกดำเนินการจากกรมสรรพากรดังเช่นโรงงานที่พ่อแม่ของผมค้าขายอยู่ด้วย)
เมื่อเดือนที่ผ่านมานี้ ผมกลับบ้าน ผมได้ยินมาว่าภาษีย้อนหลังของปี2549 มาอีกแล้ว ตอนนี้อยู่ในมือกรมสรรพากร รอวันจัดเก็บ ตอนนี้ปล่อยให้พวกพ่อค้าได้รักษาแผลจากภาษีปี2548ไปก่อน(เป็นเรื่องที่เพื่อนของพ่อแม่ซึ่งทำค้าขายยางพาราเช่นเดียวกันได้ทราบมาอย่างไม่เป็นทางการ) ซึ่งแน่นอนหากมีปี2549 ปี2550ก็ต้องย้อนมาอีก ซึ่งภาษีแต่ละปีนั้นมาก
ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ รู้สึกเป็นห่วงพ่อแม่ พ่อแม่ผมต้องคิดมากแน่นอน ช่วงหลังๆมานี้ผมเห็นพ่อแม่ผมทำงานหนักมากขึ้น ผมสงสารพ่อแม่
ผมอยากถามว่า
1)มีวิธีแก้ไขบ้างไหมเกี่ยวกับภาษีปี2549กับปี2550หากมี อาจารย์โปรดแนะนำผมด้วยครับ
2)ภาษี่ก่อนหน้าปี2548จะถูกย้อนไหม หากถูกย้อนมีวิธีแก้ไขบ้างไหมครับ(หากย้อนคงแย่แน่ๆ)
3)เสียภาษีเช่นนี้แล้ว พ่อแม่ผมต้องเสียภาษีเงินได้อีกหรือไม่ ซึ่งถ้าหากเอาจำนวนเงินที่ใช้หมุนไปใช้คิดอีก ต้องเสียในอัตราสูงมากอีก (แล้วครอบครัวผมจะเอาอะไรทาน ทำมาเสียภาษีหมด) หากเป็นดังที่ผมกล่าวจะมีหนทางใด้แก้ไขหรือไม่ อย่างไร
โปรดตอบกระผมด้วยนะครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ |