เนื่องจากพ่อของดิฉันได้ร่วมหุ้นเปิดบริษัทร่วมกับคนรู้จัก โดยกระจายหุ้นให้กับลูก ๆ ถือหุ้น รวมกันแล้วเท่ากับฝ่ายละครึ่ง ช่วงแรกลูกของหุ้นส่วนเป็นผู้บริหาร ฝ่ายพ่อดิฉันไว้ใจมาก จนถึงปี 2541 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเงินบาทลอยตัว ทำให้หนี้จากเดิม 25 ล้านบาทเป็นหนี้ 40 ล้านบาท และมีผลกระทบกับลูกของหุ้นส่วน จำเป็นต้องไปอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากปัญหาส่วนตัว ดิฉันจึงต้องเข้ามาบริหารแทนได้ประนีประนอมกับธนาคารและชำระหนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบันหนี้คงเหลือ 17 ล้านบาท ปี 2550 พ่อของดิฉันได้ถึงแก่กรรม หุ้นส่วนอีกฝ่ายและลูก ๆ ได้เริ่มเข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของ เข้ามาก้าวก่ายงานในบริษัท กล่าวหาว่าดิฉันทำอะไรไม่บอก ซึ่งดิฉันได้รับมอบให้เป็นกรรมการผู้จัดการ ดิฉันก็ทำงานในขอบเขตที่ได้รับมอบมา ใบสำคัญจ่ายหรือเช็ค ดิฉันก็ได้เสนอให้ลงนามด้วยทุกครั้ง ซึ่งดิฉันชี้แจ้งได้เพราะยึดคำสอนของพ่อให้ทำงานด้วยความสุจริต ถูกต้องชัดเจน งบการเงินประจำเดือนก็ส่งให้ทุกเดือน ผลประกอบการก็เลี้ยงพนักงานได้ พอมีเหลือชำระหนี้ธนาคารได้ แต่ไม่สามารถแบ่งเงินปันผลให้หุ้นส่วนได้ หุ้นส่วนก็พยายามหาเรื่องมาดิสเครดิตดิฉันตลอด ทำให้ดิฉันเริ่มเบื่อที่จะทำกิจการร่วมกันอีกต่อไป แต่ดิฉันก็ไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้หุ้นส่วนและลูกเข้ามาบริหารแทนเพราะมีบทเรียนมาแล้ว ประกอบกับบริษัทขาดทุนสะสมตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบันปี 2551 เนื่องจากภาระดอกเบี้ยจากหนี้เดิม ทั้งที่ผลประกอบการทุกเดือนมีกำไร ดิฉันต้องการเลิกกิจการเพื่อจะได้ไปทำงานส่วนตัว จึงได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นแจ้งว่าต้องการเลิกกิจการ หุ้นส่วนอีกฝ่ายได้ขอซื้อหุ้นฝ่ายดิฉันในราคาที่ต่ำมาก ดิฉันถามหุ้นส่วนว่าถ้าดิฉันจะขอซื้อหุ้นฝ่ายเขาในราคาที่เขาเสนอมาเขาจะขายหรือเปล่า เขากลับบอว่าที่ดินย่านนี้ราคาสูงเขาขายไม่ได้ ราคาที่เขาเสนอขายมากลับสูงกว่าหลายเท่า ดิฉันจึงเสนอว่าเมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็เลิกกิจการกันไหมโดยแบ่งที่ดินและทรัพย์สินฝ่ายละครึ่ง ฝ่ายเขาก็ไม่ยอม
ดิฉันขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่าในด้านกฏหมายมีวิธีใดบ้างที่จะเลิกกิจการได้ โดยให้ผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์เท่าเทียมกัน ขอขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ