อุทาหร ของคนโง่
ผมจะทำอะไรได้บ้าง.
เรื่องของผมมีอยู่ว่า. ผมได้รู้จักน้องคนหนึ่ง A (นามสมมุต) ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ก็คุยกัน ความสัมพันธ์ อาจจะเรียกได้ว่า ผมรักเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไงกับผม. คุยกันทางอินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์บ้าง เข้าเรื่องเลย........ เมื่อประมาณ ปลายเดือนตุลาคม 2550 เขาบอกว่า ต้องการจะใช้เงินเพื่อไปซื้อโทรศัพท์ มือถือ แล้วจะเอากลับไปบ้าน เพื่อให้แม่ดูว่า เขา
ยังมีของมีค่า เพื่อเป็นการการันตีว่าเขา ไม่เหลวไหล แล้วเขาจะขอเงินแม่มาคืนผม เขาก็ต่อรองอยู่นาน และคำสุดท้ายที่ทำให้ผมยอมให้เขา ก็คือหากผม
ไม่ให้เงินเขายืม เขาจะไม่ติดต่อกับผมอีกเลย... ผมกลัวว่าเราจะไม่ได้ติดต่อกัน ผมเลย ไปกดเงินสด (บัตรเครดิต) เพื่อโอนเงินไปให้เขา....
และพอถึงเวลาเขาก็ไม่เอามาคืน เพราะเขาบอกว่า จะเอามาคืนภายใน สองสามวัน. แต่ก็หาย ไปคืนเลย. โทรไป ก็ประมาณว่า ไม่ว่าง ทำงาน ไม่อยากคุย
(นี่คือคำพูดของเขา)
ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 50 เขาบอกว่า เขาจะทำบุญบ้าน แต่เขาหาเงินให้แม่เขาไม่ได้ เลยขอร้องให้ผมไปสมัครสินเชื่อ และเอาเงินไปให้เขา เพื่อที่
จะให้แม่ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ และเมื่อเปิดซองทำบุญ จะเอาเงินนั้นมาคืนผม.... ผมลังเลอยู่นาน เขาก็มาลูกไม้เดิม ๆ หากผมไม่ช่วย เขาก็จะไม่ติดต่อผม
ผมก็เลย ยอมไปทำสินเชื่อ เพื่อเอาเงินออกมา สินเชื่ออนุมัติวงเงินให้ผม แค่ แปดพันบาท ผมเห็นเขาจำเป็น ผมเลยเพิ่มให้ ครบ หนึ่งหมื่นบาท. ก็โอนให้
เขาเรียบร้อย (ได้มาแต่คำขอบคุณ)
วันที่ 1 ม.ค. 51 มีคนโทรหาผม B (นามสมมุต) ถามผมว่า ผมคบกับ A ในฐานะอะไร ผมก็เลยบอกว่า พี่ชาย ... และผมก็ย้อนถาม B ว่านายละคบกับ
A แบบไหน ...B ตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า แฟน.( B เป็นแฟน A) เขาเป็นแฟนกัน แล้วผมละผมเป็นอะไร... ผมเข่าอ่อนทันที.. หมดแรง หมด
ทุกสิ่งทุกอย่าง. แล้วผมก็วางสายไป.
กลางดึกคืนนั้น A โทรหาผม ผมก็เลยถามเขาตามตรง. เขาบอกว่า การที่เขาคบกับ B เพราะ B ให้เงิน A ผมก็โอเค ยอมรับว่าเสียใจมาก ทำไมต้องมาหลอกกันด้วย.. เสียความรู้สึกที่สุด
และประมาณ กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เขาบอกว่า เขาไปสมัครขายบัตรเครดิต แล้วเขาก็บอกว่า ผมจะต้องสมัครกับเขา ผมก็ถามว่า เพื่ออะไร เขาก็
บอกว่า เขาจะได้ค่าคอมฯ จากการที่ผมสมัคร. ผมก็ตอบตกลงว่า ได้... เดี๋ยวผมสมัคร ละกัน. เมื่อถึงวันเขาเข้ามาขอเอกสารผม โดยที่ไม่ต้องให้ผม
เซนเลย มีสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน สมุดเงินฝากธนาคาร โดยเขาบอกว่าจะยื่นเอง. ผมก็เชื่อใจเขา. ตอนที่เขามาเอา
เอกสารกับผม B ได้โทรเข้าเครื่องผม แต่ผมไม่รับ A เขาก็เลยดูว่าเป็นเบอร์ใคร เมื่อเขารู้ว่าเป็นเบอร์ B A เลยสั่งให้ผมรับ และบอกว่า A อยู่กับผม
ผมก็ถาม A ว่า ทำไม A ให้เหตุผลว่า เด๋ว B ไม่ให้เงินเขา.... ผมก็ทำตาม A อย่างว่าง่าย แต่ในใจ โคตรเจ็บเลย......
ต่อมาอีกหนึ่งอาทิตย์ ธนาคาร โทรฯ เข้าบริษัทผม มากกว่า สามธนาคาร เพื่ออนุมัติสินเชื่อให้ผม. ก็ตอบไปตามความจริง เพราะคิดว่า A คงยื่นเอ
กาสรเรียบร้อยแล้ว. แต่พอธนาคาร ถามไป ถามมา และผมถามธนาคารกลับ ผมเริ่มรู้สึกว่า มันทุจริต คือ ที่อยู่ที่ให้ส่งบิลนั้น ไม่ใช่ที่อยู่ของผม เบอร์
มือถือ ก็ไม่ใช่เบอร์ผม.... ตอนนั้น ผมเลยสั่งให้ธนาคาร รอการอนุมัติ ก่อน. ผมยังไม่ตอบรับวงเงิน. A พยายามบอกว่า ที่ทำไปเพราะมีเหตุผล
แต่เขาไม่บอกผม และจะมาขอ ATM จากผมไป. เขาให้เหตุผลว่า พ่อจะขายที่ดิน แล้วจะโอนเงินเข้าบัญชีผม ผมบอกว่า ผมไม่ให้ ผมจะให้อีก
บัตรหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ บัตรของบัญชีที่ยื่นขอสินเชื่อ เขาก็พูดด้วยท่าทางไม่พอใจ ทำไม ต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วย. ผมก็ยืนยันไม่ให้ ผมจะให้บัตรอื่น
ซึ่งเป็นธนาคารเดียวกัน สรุปเขายอม และผมก็ให้ไป
สรุป เขาไปสมัครทางออนไลน์ ของระบบธนาคาร เพื่อทำงาน โอน ย้าย เงิน ในบัญชีผม. เมื่อผมรู้แบบนั้น แสดงว่าเขาเล่นไม่ซื้อกับผมแล้ว ผมเลยไปทำ
เรื่องปิดบัญชีธนาคาร ทันที... ผมคิดว่าเรื่องมันจะจบ... กลับไม่จบ
เขาพยายามโทรหาผม ขอร้องให้ผม เปิดบัญชี ผมใจแข็งผมไม่เปิด...
ผมคิดว่าเรื่องมันจบจริง ๆ อีกอาทิตย์หนึ่ง ผมโทรไปถามทางธนาคาร เรื่องสินเชื่อของผม คำตอบที่ผมได้รับ คือ... โอนเงินเข้าบัญชีผมเรียบร้อยแล้ว..
ผมตกใจมาก โอนมาได้ไง บัญชีอะไร ธนาคารอะไร.. ผมถามเขา เขาบอกว่า เป็นบัญชีของธนาคาร .................... ผมยืนยันเลยว่าผมไม่เคย
เปิดบัญชีกับธนาคารนี้ ผมเลยรบกวนให้เขา เช็คยอดเงิน เงินทุกบาท ถูกกดออกไปเกลี้ยง ผมเลยบอกธนาคารว่า ผมไม่ได้เปิดบัญชี ธนาคารก็เลย
โอนให้ผมคุยกับทาง ฝ่ายทุจริต บัตรเครดิต..
ผมก็ติดต่อธนาคาร และ A แล้วธนาคารก็ให้ A กับผม ไปที่ธนาคาร เพื่อให้ A ยอมรับ A ก็ยอมรับ ซะโดยดี และธนาคารให้กำหนด 1 เดือนเพื่อหา
เงินมาคืนธนาคาร... เรื่องมันยังไม่จบ A พยายามให้ผม ขอสินเชื่อกับธนาคาร เพื่อให้ผมปิดบัญชีของเขา แต่ผมก็ไมยอม เขาตื้อผมทุกวิถีทาง
โทรมาร้องไห้ คร่ำครวญ ให้แม่โทรมาขอร้องผม ให้เพื่อนโทรมาปั้นเรื่อง ปั่นหัวผม. ผมเกือบใจอ่อน แต่ผมก็ยอมใจแข็ง และพ้นออกมาได้ แต่ก็ยัง
ไม่จบ เขาบอกว่า เขาไม่ได้เรียนหนังสือ เขาโดนตำรวจตามไปที่มหาลัย เขาไปทำเรื่องผ่อนผันทหารไม่ได้ และอื่น ๆ อีกมากมาย ตามที่มายา ของเขาจะ
มี.
ยังไม่จบอีก ล่าสุดประมาณกลางเดือนเมษายน 2551 เขาได้มาขอยืมโน๊ตบุ๊กผม บอกว่าจะเอาไป present งานนิดหน่อย ผมก็ถามว่า กี่วัน เขาบอกว่าวัน
เดียว ผมก็ให้ ยืม.. โดยไม่ลังเล สรุป... อย่างที่ท่านผู้อ่าน ได้คิด และท่านอาจารย์ได้คิดไว้ คือ... เขาเอาไปจำนำ. ดูน้ำใจเขาเถอะครับ.. เรื่องมัน
เป็นแบบนี้ จะให้ผมทำไง ดี ผมควรจะทำอย่างไร.
รวมแล้วที่เขาเอาเงินสดผมไป ประมาณ สองหมื่น (แต่ก่อนนั้นผมไม่คิด เพราะ ผมให้เขาเอง) แต่สองหมื่นนี้เขาอ้อนวอนผม เขาขอร้องผม...
ผมได้คุยกับพี่สาว และแม่ของเขา พี่สาว และแม่ของเขา บอกว่าจะเอาโน๊ตบุ๊กมาคืนผมให้ได้. แต่นี่ผ่านไป สองเดือนแล้ว ยังไม่มีวี่แววเลย.. ผมได้
ติดต่อกับแม่เขาตลอด และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แม่เขาเข้า รพ. ผ่าตัด โดยที่ลูก ๆ ของเขาไม่ไปเยี่ยมเลย มีแต่ผมที่โทรหา ให้กำลังใจทุก ๆ วัน และเมื่อ
ครบวันออกจาก รพ. แม่บอกว่า เงินไม่พออีก สามพัน ผมก็เลยโอนให้แม่ไปก่อน สามพัน แต่ผมคิดว่า แม่เขาคงจะรับผิดชอบเอามาคืนผมได้
แบบนี้ ผมจะทำไงดี ผมจอฟ้องร้อง A ได้ไหม แล้วโทษ เขาสถานใด
ตอนนี้รู้สึกว่า เขาจะมีหมายศาลไปที่บ้านเขาแล้ว (แต่ไม่ใช่ของธนาคาร) แต่เป็นบริษัทสินเชื่อ... (ซึ่งเขาอาจจะทำเรื่องปลอมเอกสารเพื่อให้ได้สินเชื่อด้วย) |