ไม่มีเงินจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตร
ดิฉันรู้จักกับสามีตั้งแต่ปี 2541 ต่อมาเริ่มเปิดทำธุรกิจร่วมกันในปี 2547 ต่อมา เมษายน 2549 ดิฉันได้จดทะเบียนสมรสกับสามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยดิฉันยังไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนชื่อกับทางเขตเนื่องจากยุ่งยากในการแก้ไขเอกสาร ต่อมาในปี 2549 ดิฉันจับได้ว่าสามีได้แอบมีผู้หญิง 2 คน โดยคนแรกคบกันมาก่อนดิฉันตั้งแต่ปี 2539 และอีกคนคบหลังดิฉันประมาณปี 2543 โดยผู้หญิงทั้งสองต่างมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสามีดิฉัน ซึ่งผู้หญิงคนแรกได้มาเรียกร้องเงินจากดิฉันเป็นจำนวน 250000 บาท เพื่อให้เธอยุติความสัมพันธ์กับสามีดิฉัน ดิฉันได้จ่ายเงินให้ผู้หญิงคนแรกและได้เธอเลิกติดต่อกับสามี ในขณะที่ผู้หญิงคนที่สองพอทราบว่าดิฉันได้จ่ายเงินให้ผู้หญิงคนแรกก็เรียกร้องเงินกับดิฉันเช่นกันเป็นจำนวน 20000 บาท (อ้างว่าเป็นเงินที่สามีดิฉันยืมมา) โดยจะยินยอมเลิกกับสามีดิฉัน ดิฉันได้ตัดสินใจจ่ายเงินโดยให้สามีดิฉันไปคุยว่าขอจ่ายแบบผ่อนชำระเดือนละ 1000 - 2000 บาทต่อเดือน และขอให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับนับตั้งแต่เดือนเมษายน ต่อมาดิฉันได้จับได้ว่าผู้หญิงคนนี้พยายามติดต่อกับสามีดิฉันอีกครั้ง โดยดิฉันได้ว่ากล่าวไปจนกระทั่งผู้หญิงคนนี้ยอมเลิกติดต่อกลับสามีดิฉัน แต่ดิฉันได้หยุดการจ่ายเงินให้เธอ เพราะต่อมาดิฉันทราบมาว่าเงินดังกล่าวไม่มีการยืมจริงเพราะสามีสงสารดิฉันที่ต้องพยายามหาเงินมาจ่าย จริงยอมบอกความจริงว่าที่จริงผู้หญิงคนนี้ ได้บอกกับสามีว่า เธอจะหลอกเอาเงินดิฉันโดยจะบอกว่าสามีติดเงินเธอและให้ดิฉันหาเงินมาคืนให้เธอแล้วเธอจะแบ่งเงินให้สามีดิฉันคนละครึ่ง สามีดิฉันเองไม่ยอมเลยยุติความสัมพันธ์กับผู้หญิงดังกล่าว ในขณะที่ดิฉันก็หยุดการจ่ายเพราะรู้ตัวว่าโดนหลอก หลายเดือนต่อมาสามีดิฉันได้แอบติดต่อกับผู้หญิงคนนี้อีกประมาณเดือนตุลาคม และ ฝ่ายหญิงก็ยอมให้สามีดิฉันไปมีความสัมพันธ์ด้วยอีกครั้งประมาณเดือนธันวาคม 49 ต่อมาประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2550 ดิฉันจับได้ว่าผู้หญิงยังติดต่อกลับสามีดิฉันอยู่ในขณะนั้นดิฉันยังไม่มีบุตร ในช่วงเดือนมีนาคมได้มีการโต้เถียงกันดิฉันพยายามบอกกล่าวให้ผู้หญิงคนนี้และสามีเลิกยุ่งกันแต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมและโต้เถียงกันโดยเธอบอกกับดิฉันว่าคอยดูว่าเธอจะมีบุตรกับสามีดิฉันเพราะดิฉันไม่สามารถมีบุตรได้ ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2550 ผู้หญิงคนนี้ได้บอกกล่าวสามีดิฉันว่าตั้งครรภ์ และขอร้องให้สามีเลิกกับดิฉันและไปอยู่กับเค้าสามีดิฉันไม่ยินยอมเพราะไม่แน่ใจในคำกล่าวอ้างตั้งครรภ์ว่าใช่บุตรของตนหรือปล่าวและดิฉันก็ขอร้องให้เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนดังกล่าว ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2550 ผู้หญิงคนเดิมได้ติดต่อไปหาญาติของสามีดิฉันว่าหากต้องการให้เขาเลิกยุ่งกับสามีดิฉันจริงต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูมา 5 ล้านบาทและยอมเลิกด้วย ทางญาติของเขาแจ้งว่าไม่มีเงินจ่าย และยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเด็กใช่บุตรของสามีดิฉันจริงหรือไม่ ผู้หญิงคนดังกล่าวได้กล่าวทิ้งท้ายว่าจะเก็บเด็กคนนี้ไว้และคลอดเมื่อไหร่จะได้เจอกัน
จากเรื่องราวทั้งหมดที่ได้เล่ามาก็เกิดเรื่องว่าฝ่ายหญิงได้มีการฟ้องร้องต่อศาลให้สามีดิฉันรับรองบุตรและจ่ายค่าเลี้ยงดูเดือนละ 10000 บาท นับตั้งแต่วันคลอดบุตรจนเด็กบรรลุนิติภาวะ
ดิฉันขอถามอาจารย์เป็นข้อ ๆ ดังนี้ค่ะ
1. สามีดิฉันเองไม่แน่ใจว่าใช่บุตรหรือปล่าวเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวมีความสัมพันธ์กันจริงโดยฝ่ายหญิงรับรู้มาตลอดว่าสามีมีดิฉันแล้ว ประกอบกับการคบกับหญิงดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ได้เปิดเผยต่อบุคคลทั่วไป เพราะสามีดิฉันจะแอบไปตอนดิฉันหลับและกลับมาตอนเช้า ถ้าเช่นนี้สามีดิฉันจะขอตรวจดีเอ็นเอได้หรือไม่
2. ดิฉันสามารถฟ้องร้องผู้หญิงคนดังกล่าวในฐานะเมียน้อยได้หรือไม่ และการที่ดิฉันยังไม่ได้เปลี่ยนคำนำหน้าในบัตรประชาชนจะเป็นเหตุให้ฝ่ายหญิงอ้างว่าไม่รู้ได้หรือไม่ค่ะ (ซึ่งฝ่ายหญิงเองก็ยังไม่เคยเห็นบัตรประชาชนดิฉัน)
2. หากตรวจแล้วใช่ สามีดิฉันต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตร เดือนละ 10000 บาทย้อนหลังไหมค่ะ หรือจ่ายเมื่อมีการรับรองบุตร ซึ่งปัจจุบันดิฉันกับสามีคงไม่มีเงินไปจ่ายเพราะเรามีหนี้สินมากมายแต่ละเดือนรายรับก็ไม่พอรายจ่ายมีการฟ้องร้องจากบริษัทท้วงหนี้ต่าง ๆ ด้วย ซึ่งหากต้องจ่ายจริงดิฉันเยอะขนาดนั้นจริงคงเป็นกรรมของดิฉันเพราะดิฉันต้องร่วมในการจ่ายด้วยซึ่งก็ไม่รู้จะไปหาเงินกู้จากไหนมาจ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรตามที่ฝ่ายหญิงร้องขอ (ซึ่งดิฉันทราบว่าผู้หญิงคนดังกล่าวไม่มีการงานเป็นหลักแหล่งและไม่มีรายได้อะไร แต่การเรียกร้องดังกล่าวสูงเกินไปและเมื่อมีเจตนาใช่เด็กเป็นเครื่องมือมาข่มขู่เรียกร้องเงิน ดิฉันสงสารเด็กคนหนึ่งที่กำลังถูกกระทำจากผู้หญิงคนดังกล่าว)
3. หากเด็กคงนั้นเป็นบุตรจริงดิฉันคงต้องทำใจรับกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแต่ดิฉันก็ยังคงให้อภัยสามีเพราะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปี แต่ดิฉันกลัวว่าฝ่ายหญิงจะมาระร้านดิฉันอีกโดยนำบุตรมาเป็นข้ออ้าง หากเป็นเช่นนั้นดิฉันสามารถเรียกร้องให้ฝ่ายหญิงเซ็นต์ยินยอมว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับสามีดิฉันได้ไหมค่ะ หรือหากยุ่งเกี่ยวกันดิฉันสามารถฟ้องร้องในภายหลังได้หรือปล่าว
สุดท้ายดิฉันขอขอบคุณอาจารย์ที่ตอบคำถามค่ะ เพราะดิฉันเองก็ทุกข์ใจกับเรื่องดังกล่าวมากแม้ว่าผลพิสูจน์ ณ วันนี้ใช่หรือไม่ใช่ ดิฉันก็รู้สึกทุกข์ใจ ดิฉันเองก็เสียใจในการกระทำของสามีที่ผิดต่อดิฉันในขณะเดียวกันดิฉันก็เสียใจที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งพยายามหาผลประโยชน์จากดิฉันโดยพยายามมาเรียกร้องจากดิฉันตลอดเวลา เพราะผู้หญิงคนนั้นทราบดีว่าดิฉันจะต้องพยายามหาเงินมาจ่ายเพื่อให้เรื่องมันจบแต่ปัจจุบันหนี้สินมีอยู่เยอะมากไม่มีความสามารถในการจ่ายแล้ว
อาจารย์ค่ะ ช่วยขอความกรุณาช่วยเหลือดิฉันด้วยเถอะค่ะ เพราะดิฉันทุกข์ในเหลือเกินไม่รู้จะหันไปพึ่งทางไหนได้บ้าง |