กราบเรียนท่านอ. มีชัย ฟชุพันธุ์
กระผมได้ถามข้อกฎหมายไปยังอัยการเจ้าของคดีที่เกิดขึ้นจริงที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของอัยการ เพราะอยากทราบความคืบหน้าของคดีดังกล่าว และได้คำตอบดังต่อไปนี้ ดูเหมือนว่าอาจจะฟ้องอาญาไม่ได้
ความคิดเห็นที่ : 1
ฎีกาฉบับดังกล่าวนี้ ไม่ทราบจะเทียบเคียงคดีดังต่อไปนี้ได้หรือไม่ฎีกาที่ 609/2529 การกระทำใดเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือไม มิได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง แต่ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนเป็นข้อสำคัญ คดีมีอยู่ว่าดิฉันได้ฝากเงินกับกลุ่มออมทรัพย์ที่จัดตั้งขึ้นในหมู่บ้าน แต่ไม่ได้จดทะเบียน โดยมีกรรมการ ๕ คน มีสมาชิก ๓๐๐ คนโดยกรรมการโฆษณาว่าให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๒ ต่อเดือนโดยเขากล่าวว่าจะนำเงินไปปล่อยกู้ให้สมาชิกร้อยละ ๓ กระผมฝากเงินมา ๒ ปีได้รับดอกเบี้ยตามที่เขาบอกโดยได้รับดอกเบี้ยปีละครั้ง พอปีที่ ๓ เริ่มมีการขาดสภาพคล่อง โดยผู้ฝากเงินทราบว่าเงินส่วนมาก กรรมการนำไปแบ่งกันแล้วทำสัญญากู้ปลอมในนามของญาติพี่น้อง กรรมการบางคนทำสมุดฝากปลอมในนามญาติพี่น้อง แล้วมาถอนเงินไป และทราบภายหลังว่าเงินที่กรรมการนำมาจ่ายดอกเบี้ยนั้น กรรมการเอาจากเงินฝากของเดือนก่อนจ่ายดอกเบี้ย (หมายถึงในเดือนนั้นห้ามสมาชิกกู้ ห้ามสมาชิกถอน กรรมการจะนำเงินดังกล่าวไปจ่ายดอกเบี้ยในเดือนหน้า ) คือทำแบบลูกโซ่ ผู้ฝากเงินจึงไม่มีใครฝากเงินเพิ่ม เป็นผลให้กรรมการไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย บัดนี้ยังถอนเงินต้นไม่ได้ โดยกรรมการอ้างว่านำเงินไปปล่อยกู้แล้วเกิดหนี้สูญ ผู้กู้ไม่ยอมชำระ ทางผู้ฝากขอเอกสารหลักฐานการดำเนินการก็บอกว่าหายไปแล้ว เผาไปแล้ว หนูกัดบ้าง อันที่จริงเขาไม่ได้ทำบัญชีอะไรเลย ตอนนี้ผู้ฝากมีแต่หลักฐานคือ สมุดฝากเงินเท่านั้น อยากทราบว่าจะฟ้องกรรมการในข้อหาฉ้อโกงประชาชนได้หรือไม่การทีกรรมการในกลุ่มออมทรัพย์ดังกล่าวปิดบังความจริง ไม่สามารถเอาเอกสารมาแสดง อ้างว่าเผาทำลาย สูญหายไปแล้ว ซึ่งควรบอกหรือชี้แจงให้ผู้ฝากเงินทราบของที่มาที่ไปหรือชี้แจงผลการดำเนินงานได้ จะถือว่าคดีดังกล่าวจะเข้าหรือเทีบยเคียงกับฎีกาที่ 609/2529 ได้หรือไม่
ความคิดเห็นที่ : 2
ตอบคำถามที่ 00004 และ 00005 ของคุณสมจิตร การดำเนินกิจกรรมกลุ่มออมทรัพย์ในหมู่บ้าน เป็นกิจกรรมร่วมกันของสมาชิก มีชาวบ้านฝากเงินให้กลุ่มออมทรัพย์ และมีชาวบ้านที่เป็นสมาชิกเลือก กรรมการจำนวนหนึ่งเป็นผู้บริหารเงินฝากของกลุ่มออมทรัพย์เมื่อสมาชิกมาฝากเงินก็ทำบัญชีไว้เป็นหลักฐาน พร้อมให้ดอกเบี้ยตามระเบียบของกลุ่มออมทรัพย์ส่วนเงินฝากก็พิจารณาปล่อยให้สมาชิกกู้ยืมไป การดำเนินงานคล้ายกับธนาคารพาณิชย์ เมื่อมีปัญหาขาดสภาพคล่องในหลายกลุ่มออมทรัพย์ นั้น เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่นผู้กู้ไม่ชำระหนี้ เรียกภาษาทั่วไปว่าหนี้เสีย อาจมิใช่เกิดจากการทุจริตของกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบบัญชี เอกสารหลักฐานต่างๆ ของกลุ่มออมทรัพย์ จึงทราบว่าปัญหา เกิดจากสาเหตุใดส่วนปัญหาที่ท่านถามมาอาจตอบได้ดังนี้1. จะฟ้องกรรมการในข้อหาฉ้อโกงประชาชนได้หรือไม่ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 มีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เป็นองค์ประกอบ ซึ่งการกระทำอันเป็นองค์ประกอบสำคัญ ของความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 คือการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการกระทำดังกล่าวผู้กระทำจะต้องมีเจตนามาตั้งแต่ต้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคหนึ่ง ตามข้อเท็จจริงได้ความว่า ท่านพร้อมด้วยสมาชิกคนอื่นๆ ได้รับดอกเบี้ยตามที่ได้ตกลงกันไว้ตลอดระยะเวลา 2 ปี ต่อมาในปีที่ 3 กลุ่มออมทรัพย์ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จนทำให้ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยให้กับสมาชิก และสมาชิกไม่สามารถถอนเงินต้นได้นั้น พฤติการณ์ยังฟังไม่ได้โดยแน่ชัดว่ากรรมการทั้ง 5 คน มีเจตนาหลอกลวงท่านและสมาชิกมาตั้งแต่ต้น ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 341 จึงยังไม่อาจฟ้องกรรมการในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 343 2. ข้อเท็จจริงดังท่านกล่าวมาจะเข้าหรือเทียบเคียงฎีกาที่ 609/2529 ได้หรือไม่การที่กรรมการปิดบังข้อเท็จจริง ไม่สามารถเอาเอกสารมาแสดง โดยอ้างว่าเผาทำลาย สูญหายไปแล้ว หรือหนูกัดบ้าง ไม่สามารถชี้แจงผลการดำเนินงานได้ เป็นข้ออ้างของกรรมการฝ่ายเดียวโดยยังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ลักษณะเป็นการบริหารงานที่ไม่โปร่งใสของกรรมการ ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต่างจาก ฎีกาที่ 609/2509 กล่าวคือฎีกาที่ 609/2509 ข้อเท็จจริงเป็นกรณีที่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงประชาชน จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 343 (ฐานฉ้อโกงประชาชน)จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 341 (ฐานฉ้อโกง)โจทก์ ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ฐานฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 343 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมกับพวกหลอกลวงผู้เสียหายในคดีนี้เป็นรายบุคคล ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 นั้น มิได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงมากหรือน้อยเป็นเกณฑ์ แต่ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนเป็นข้อสำคัญ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนกรณีตามฎีกาดังกล่าวจึงนำมาใช้หรือเทียบเคียงกับกรณีตามคำถามไม่ได้ ข้อเท็จจริงต่างกัน