ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    028040  ปรึกษาคดีสินเชื่อเงินสด GE. (หลังคำพิพากษาของศาล)ภัทราภรณ์12 พฤษภาคม 2551

    คำถาม
    ปรึกษาคดีสินเชื่อเงินสด GE. (หลังคำพิพากษาของศาล)

    เนื่องจากมีภาระหนี้สินกรณีสินเชื่อเงินสดควิกแคชกับ บ.จีอีฯ ซึ่งเดิมคงค้างเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวนประมาณ 35,000 บาท และได้มีบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นทนายความจากบริษัทรับติดตามหนี้แห่งหนึ่งติดต่อเข้ามาและแจ้งว่าหนี้กำลังจะถูกฟ้อง ซึ่งถ้าต้องการระงับการฟ้องดังกล่าว ให้ชำระหนี้เข้ามาจำนวน 10% ของยอดหนี้ คือ 3,500 บาทภายในเวลา 6 เดือน ซึ่งดิฉันได้ทยอยผ่อนให้ภายใน 6 เดือนจนครบจำนวนข้างต้น โดยระหว่างที่ผ่อนชำระนั้นได้แจ้งกับทนายคนดังกล่าวไว้ว่า ดิฉันมีภาระหนี้สินอีกหลายอย่างไม่สามารถชำระคืนเป็นเงินก้อนได้ในส่วนที่เหลือ และขอให้หลังจาก 6 เดือนที่ผ่อนชำระครบ 10% แล้วจะขอผ่อนชำระจำนวนเดือนละ 500 บาท จนกว่าภาระหนี้สินในส่วนอื่นจะทุเลาเบาบางลงจึงจะแจ้งเพื่อเพิ่มยอดเงินคืนให้ ซึ่งทนายก็แจ้งว่าไม่เป็นไรและจะดำเนินการให้ แต่ต่อมาประมาณเดือนที่ 6 คือเดือนสุดท้ายก่อนครบยอด 10% มีทนายอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในบริษัทติดตามหนี้เดียวกันได้โทรมาแจ้งว่าหนี้จะต้องถูกฟ้องเนื่องจากมียอดคงเหลือเกิน 30,000 บาท ถึงแม้จะหัก 10% แล้วก็ตาม ซึ่งดิฉันก็ได้แจ้งข้อเท็จจริงที่ติดต่อไว้กับทนายคนเดิมในเงื่อนไขการชำระเงินให้กับทนายคนใหม่ทราบ แต่ทนายคนใหม่ก็ไม่ยินยอมและขอให้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ยอดหนี้คงเหลือต่ำกว่า 30,000 บาท จึงจะไม่นำเรื่องขึ้นฟ้องต่อศาล และดิฉันเองก็ไม่สามารถติดต่อกับทนายคนเดิมได้อีกเลยโดยอ้างว่าได้โอนเรือ่งมาให้ทนายคนใหม่ในส่วนของการส่งฟ้องคดีแล้ว จากนั้นดิฉันก็ได้รับหมายศาลในกรณีดังกล่าวนี้ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2551 โดยฟ้องเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท+++ ทั้งนี้ในวันที่ขึ้นศาลดิฉันได้แจ้งข้อมูลข้างต้นกับทนายที่ขึ้นฟ้องให้ทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างและยอดเงินที่ฟ้องนั้นเกินกว่าที่ได้รับทราบจากทนายช่วงที่ติดตามหนี้อีกประมาณ 10,000 บาท+++ และดิฉันได้แจ้งว่าดิฉันมีเอกสารในการโอนเงินในช่วงชำระ 10% ครบทุกครั้งรวมถึงเอกสารที่สรุปยอดเรียกเก็บครั้งสุดท้ายก่อนที่จะชำระ 10% จากบริษัทติดตามหนี้ด้วย พร้อมทั้งนำให้ทนายที่ขึ้นฟ้องดูในรายละเอียด ซึ่งทนายที่ขึ้นฟ้องก็รับทราบและได้แจ้งให้ดิฉันชำระเงินคืนขั้นต่ำจำนวน 1,500 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นการประนีประนอมหนี้สินดังกล่าว ซึ่งดิฉันก็แจ้งว่าขณะนี้ดิฉันมีปัญหาและขอเสนอเงื่อนไขในการชำระหนี้สินดังนี้คือ 1.ดิฉันมีเงินเดือนประมาณ 15,000 บาท แต่ดิฉันมีหนี้สินที่ต้องชำระหลายตัวรวมถึงมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลแม่และหลานและค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพต่อเดือนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง จึงไม่สามารถจ่ายชำระให้เดือนละ 1,500 บาทตามที่ร้องขอได้ จึงขอผ่อนชำระเดือนละ 500 - 1,000 บาทต่อเดือนไปก่อนจนกว่าภาระอย่างอื่นจะเบาบางลง จึงจะเพิ่มยอดเงินชำระคืนให้ 2. ขอให้พิจารณายอดหนี้ที่เรียกฟ้องใหม่เพราะมีจำนวนที่ฟ้องเกินไปเป็นจำนวนประมาณ 10,000 บาท 3. ขอให้ระงับการคิดดอกเบี้ยเพื่อให้ยอดหนี้หยุดที่ 31,500 บาท (หลังหัก 10% แล้ว) ซึ่งทนายความที่ขึ้นฟ้องแจ้งว่าไม่สามารถลดยอดในการผ่อนชำระคืนต่อเดือนลงจากยอด 1,500 บาทได้เนื่องจากบริษัท จีอีฯ ไม่ยินยอม จากนั้นจึงให้ลงลายมือชื่อในเอกสารซึ่งน่าจะประมาณรับสภาพหนี้ โดยแจ้งว่าจะชี้แจงให้ศาลทราบในข้อมูลที่ดิฉันแจ้งมาและเมื่อศาลพิจารณาพิพากษาแล้วยอดเงินที่ต้องชำระหนี้จะต้องต่ำกว่า 50,000 บาทที่ฟ้องแน่นอน และเมื่อศาลพิพากษายอดเงินสรุปคงเหลือที่ต้องชำระแล้ว ค่อยคุยกันเรือ่งการผ่อนชำระต่อเดือนอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นให้ดิฉันกลับบ้านได้โดยไม่ต้องขึ้นให้การกับศาล และให้โทรศัพท์มาสอบถามคำพิพากษาของศาลกับทนายประมาณหรือที่ศาลประมาณอีก 2 สัปดาห์ และประมาณสิ้นเดือนมีนาคม 2551 ดิฉันได้โทรศัพท์ไปสอบถามที่ศาลถึงคำพิพากษา ทราบว่าศาลได้พิจารณาพิพากษาให้ชำระเต็มจำนวนตามยอดที่บริษัท จีอีฯ ฟ้องมาคือ 50,000 บาท +++ พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมศาลด้วย ซึ่งไม่มียอดลดจากหนี้ที่ฟ้องเลยซักบาทเดียว จากนั้นดิฉันได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาทนายที่ขึ้นฟ้องและได้แจ้งถึงคำพิพากษาของศาลให้ฟัง โดยทนายคนดังกล่าวแจ้งว่ายังไม่ทราบคำพิพากษาของศาลเนื่องจากว่ายังไม่ได้ไปคัดสำเนาคำพิพากษาของศาลเพราะมีคดีอี่นๆ อีกมาก และแจ้งว่าหากไปคัดสำเนาแล้วจะโทรศัพท์ติดต่อมาหาดิฉันว่าจะให้ชำระหรือดำเนินการอย่างไรต่อไป จน ณ วันนี้ดิฉันก็ยังไม่ได้รับการติดต่อทนายความคนนี้เลย ดิฉันเกรงว่าวันหนึ่งจะมีคำสั่งจากสำนักงานบังคับคดีมาที่บริษัทที่ดิฉันทำงานอยู่เพื่อขออายัดเงินเดือน ซึ่งทราบว่าสามารถอายัดได้ถึง 30% ของเงินเดือน รวมถึง 10% ของยอด OT.และ โบนัส ซึ่ง ดิฉันจะต้องลำบากแน่ๆ ถ้าหากมีการอายัดข้างต้น เพราะในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายมาก เงินที่เหลือจากการอายัดไม่พอกับค่าใช่จ่ายแน่ๆ ส่วนยอด โบนัส ดิฉันจะเก็บไว้จ่ายชำระหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นเงินก้อน โดยในขณะนี้ดิฉันได้ตกลงกับเจ้าหนี้นอกระบบไว้ว่าขอให้หยุดดอกเบี้ยและคืนเงินต้นโดยจะชำระคืนเมือ่ได้รับโบนัส ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินยอมค่ะ ขอรบกวนเรียนถามคุณทนายดังนี้ค่ะ
    1. ดิฉันควรจะดำเนินการอย่างไรดีค่ะจึงจะเป็นผลดีกับดิฉันมากที่สุด เกียวกับเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นที่เล่ามาทั้งหมดค่ะ อาทิเช่น ทำอย่างไรยอดหนี้ที่ฟ้องจึงจะลดลงกว่าที่ศาลพิพากษา (ให้เป็นตามที่หัก 10% แล้วค่ะ) , ทำอย่างไรจึงจะขอลดยอดผ่อนชำระต่อเดือนให้ต่ำกว่าที่ บริษัท จีอีฯ ต้องการคือ น้อยกว่า 1,500 บาทต่อเดือน เป็นต้นค่ะ
    ขอขอบคุณ มา ณ โอกาสนี้ค่ะ

     

     

    คำตอบ
    คุณอาจถูกหลอกให้ชำระหนี้เพื่อหยุดอายุความ และถูกหลอกให้ลงชื่อรับสภาพหนี้ เพื่อผลการพิจารณาคดีในศาล  จึงยากที่จะแก้ไขอะไรได้ ที่สำคัญคุณเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อคดีที่ถูกฟ้องอยู่จึงมิได้ไปสู้คดีหรือไปศาล  โอกาสที่เขาจบังคับคดีโดยอายัดเงินเดือนจึงเป็นไปได้สูง
    มีชัย ฤชุพันธุ์
    12 พฤษภาคม 2551