เรียนท่านอาจารย์
เมื่อ ต.ค. 2540 ดิฉันอายุ 22 ปี กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เพื่อนของดิฉันได้แนะนำให้รู้จักเจ้าของโครงการที่ดินจัดสรรทางภาคเหนือ และได้ชักจูงให้ดิฉันกับเพื่อนซื้อที่ดินจัดสรรคนละแปลง โดยบอกว่า จนท.ของธนาคาร(มีชื่อเสียงด้านอสังหาริมทรัพย์ในไทย) เป็นผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับเจ้าของโครงการ สามารถจัดการเรื่องเอกสารการกู้เงินกับธนาคารได้โดยง่าย ดิฉันและแฟนจึงได้เดินทางไปดูที่ดินจัดสรรและได้ตกลงยอมทำสัญญาขอกู้เงินกับธนาคาร ๆ เนื่องจากถูกเจ้าของโครงการและ จนท.ธนาคารพูดจาหว่านล้อมสารพัด และด้วยความไม่ประสีประสาถูกจับมือเซ็นชื่อในสัญญาที่ไม่มีข้อความใด ขณะนั้นแฟนของดิฉันเริ่มทำงานได้ 2 เดือนจึงไม่สามารถขอเอกสารเงินเดือนเพื่อขอยื่นกู้ได้ และดิฉันเองยิ่งไม่มีสิทธิในการยื่นกู้แน่นอน เพราะยังเรียนไม่จบและยังไม่ได้ทำงาน ไม่มีทรัพย์สิน รวมทั้งสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารด้วย แต่ทาง จนท.ของธนาคารและเจ้าของโครงการฯ พูดว่า"เดือนหน้ารอรับจดหมายอนุมัติการกู้เงินจากธนาคารนะ" ดิฉันกับแฟนมาคิดกันว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ต้องไม่ผ่านการอนุมัติแน่นอน เพราะเราสองคนไม่มีเอกสารสำคัญที่ใช้สำหรับกู้เงินได้เลย หลังจากนั้น 1 เดือน ก็มีจดหมายมาจากธนาคารฯ ว่าผ่านการอนุมัติเงินกู้ และให้ไปทำสัญญาเงินกู้ที่ธนาคารฯ ภายในวันที่กำหนดไว้ แต่ดิฉันกับแฟนไม่ได้ไปทำสัญญาเพราะคิดว่าเป็นเรื่องตลกของเจ้าของโครงการและ จนท.ธนาคาร แต่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ มีเอกสารการกู้เงินจากธนาคารส่งมาที่บ้านว่าดิฉันเป็นผู้กู้หลัก และแฟนเป็นผู้กู้ร่วม ดิฉันกับแฟนจึงนำเอกสารกู้เงินนี้ไปที่ธนาคารสาขาใหญ่ทันที ถามจนท.ที่ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และได้รับคำตอบที่ทำให้เข่าอ่อน เพราะเป็นเอกสารจริง แต่เอกสารสำคัญที่ใช้ในการขอกู้เป็นเอกสารปลอมทั้งหมด ดิฉันและแฟนตกเป็นลูกหนี้ของธนาคารนี้ไปแล้ว ดิฉันพยายามติดต่อเจ้าของโครงการให้แก้ไขเรื่องทั้งหมด โดยนัดทำสัญญากับเจ้าของโครงการว่า เจ้าของโครงการจะต้องไปผู้รับผิดชอบเงินผ่อนที่ดินแปลงนี้ทั้งหมด จะไม่ทำให้ดิฉันและแฟนต้องเดือดร้อนและเสื่อมเสียชื่อเสียง หลังจากทำสัญญากันแล้ว เจ้าของโครงการก็ได้ทำการชำระเงินกู้ทั้งหมด 9 งวด ดิฉันไม่เคยไปชำระเงินเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่แล้วก็ขาดการชำระไป และดิฉันก็ไม่สามารถติดต่อเจ้าของโครงการได้อีก จนเวลาผ่านไป 1 ปี ก็มีเอกสารทวงหนี้จาก สนง.ทนายความ และดิฉันก็ติดต่อกลับไปเพื่อเล่าความจริงให้ทนายความฟัง หลังจากนั้นการทวงหนี้ก็เงียบไป โดยที่ดิฉันก็ไม่ได้ไปชำระเงินค่างวดแต่อย่างใด ผ่านไป 5 ปี จนท.ธนาคารที่เคยทำสัญญาให้ดิฉันติดต่อมาและได้คุยกับแม่ของดิฉัน พูดหว่านล้อมต่างๆนานาว่าให้ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้ เพราะสวยมาก แต่แม่ของดิฉันไม่เห็นชอบและได้ด่าทอ จนท.คนนั้นว่าเป็นพวกต้มตุ๋น ให้แก้ไขเรื่องนี้ จากนั้น 3 เดือนก็มีหมายศาลมาที่บ้านสั่งฟ้องและขายทอดตลาด จนเมื่อปีที่แล้ว ทนายความได้ติดต่อมาอีกครั้งและแจ้งว่าดิฉันมีหนี้ค้างทั้งสิ้น 5 แสนกว่าบาทรวมดอกเบี้ยแล้ว ส่วนที่ดินได้ขายทอดตลาดไปแล้วในราคาสองแสนบาท ดิฉันก็ได้แจ้งทนายความกลับไปว่า ให้คุณไปดูเอกสารการขอกู้ทั้งหมด และให้ดูความเป็นไปได้ถึงสถานภาพของดิฉัน ณ เวลานั้น ว่าดิฉันมีกำลังความสามารถกู้เงินได้เป็นจำนวนเงินถึง 4 แสนกว่าบาทเชียวหรือ ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน หลังจากครั้งนี้ก็ไม่มีการติดต่อกลับจากทนายความอีกเป็นระยะเวลา 7 เดือนแล้วค่ะ
ดิฉันอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ดิฉันจะโดนศาลสั่งล้มละลายหรือไม่คะ และดิฉันมีทางต่อสู้คดีได้หรือไม่คะ ดิฉันไม่อยากฟ้องกลับจนท.ธนาคารแห่งนี้เลย เนื่องจากธนาคารมีชื่อเสียงมั่นคงในประเทศไทยมากค่ะ ดิฉันอยากให้เรื่องนี้จบโดยไม่กระทบกับชื่อเสียงของใครเลยค่ะ ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ ดิฉันและครอบครัวอยู่กับฝันร้ายนี้มา 10 ปีแล้วค่ะ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ
ผมเคยมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นคนทั่วไปที่ไม่รู้กฎหมายแล้วคิดเอาเองในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมาย แต่มากรณีของคุณนี่ยิ่งน่าทุกข์หนักขึ้นไปอีกเพราะจบมหาวิทยาลัย ซึ่งอย่างน้อยก็ควรจะต้องได้เรียนความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไปมาบ้าง ควรต้องรู้ว่าการลงชื่อในเอกสารอะไรแล้วย่อมจะต้องผูกมัดตัวเองไปอีกนาน และอย่างน้อยจะต้องรู้ว่าเมื่อเกิดคดีความขึ้นจะต้องรีบไปปรึกษากับทนายความเพื่อดำเนินการต่อสู้คดีหรือหาทางออก แต่คุณกลับปล่อยปละละเลยโดยนึกเอาเองว่าไม่เป็นไร โดยเหตุผลว่าตอนนั้นคุณยังไม่มีงานทำคงไม่มีใครให้กู้เงิน มาถึงวันนี้ถ้าคุณยังนิ่งนอนใจ ต่อไปก็จะได้รับหมายศาลว่าถูกฟ้องล้มละลาย เพราะหนี้ที่มีอยู่จะผลิตดอกเบี้ยในอัตราสูงขึ้นทุกวัน และในส่วนที่เป็นห่วงชื่อเสียงของใครต่อใครนั้น ก็เป็นความเมตตาของคุณ แต่ระหว่างการเป็นห่วงชื่อเสียงของคนอื่นกับการเป็นหนี้โดยที่ไม่รู้เรื่องและต้องล้มละลายในที่สุดคุณจะเลือกอย่างไรก็ต้องลองตัดสินใจดู ข้อแนะนำขณะนี้มีประการเดียว คือรีบไปหาทนายความปรึกษาเขาดูว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะข้อเท็จจริงที่เล่ามาไม่อาจให้คำแนะนำได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับเอกสารต่าง ๆ