กราบเรียนท่านมีชัย
ดิฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาท่านค่ะ
คือ เรื่องมีอยู่ว่า สามีดิฉันตอนนี้ถูกตัดสินให้จำคุก 12 ปี ในข้อหาพยายามฆ่า โดยสามีดิฉันเป็นจำเลยที่ 2 และความจริงสามีดิฉันไม่ได้เป็นคนทำ เนื่องจาก เหตุเกิดในเวลากลางคืน หลักฐานในที่เกิดเหตุมีเพียงรถจักรยานยนต์ที่เป็นของสามีดิฉัน ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นผู้ยิงไปที่พื้นและคนขับตัวจริง(หน้าตาผิวพรรณคล้ายกับสามีดิฉัน) แต่หลังจากนั้นไม่ทราบว่ากี่วันโจทก์ได้แจ้งความว่าจำเลยที่ 1 และสามีดิฉันเป็นคนกระทำความผิด (ขณะนั้นคนขับตัวจริงไม่ได้อยู่ไม่ทราบว่าหนีหรือไม่)แต่ที่โรงพักสามีดิฉันกลับไปท้าโจทก์ว่าถ้าอยากได้ค่าปรับก็ไปฟ้องร้องเอา เพราะสามีดิฉันคิดว่าเค้าไม่ได้ทำจะฟ้องเอาค่าปรับจากเค้าได้อย่างไร จากนั้นเรื่องก็เลยถึงศาล มีการนัดสืบพยานมาเรื่อย ๆ จนตัดสินเด็ดขาดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2550 สามีดิฉันไม่ยอมซัดทอดและไม่ยอมรับผิด ส่วนจำเลยที่ 1 ก็ไม่ให้การว่าสามีดิฉันไม่ได้ไปด้วย และไม่ได้กล่าวอ้างถึงคนขับตัวจริง สุดท้ายศาลเลยตัดสิน ศาลบอกว่าโจทก์เป็นญาติกับสามีดิฉันจึงไม่มีมูลเหตุจูงใจให้ใส่ความกัน และทางจำเลยได้มีการเตรียมการไว้ก่อน คือ ขับรถวนรอบที่เกิดเหตุ และพบปลอกกระสุนปืน และพยานบุคคลของสามีดิฉันก็เป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันไม่มีน้ำหนักพอ แต่ว่าพยานบุคคลของโจทก์ก็เป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับโจทก์เช่นกัน
ดิฉันอยากถามท่านมีชัยค่ะว่า ในกรณีที่ไม่ยอมรับผิดและไม่กล่าวอ้าวถึงผู้กระทำผิดจริงในศาลชั้นต้น และจากการสอบถามจำเลยที่ 1 ก็จะยื่นอุทธรณ์สู้ทั้งที่เค้าทำจริง ๆ แบบนี้จะมีผลต่อการยื่นอุทธรณ์ของสามีดิฉันไหมคะ หากจะยื่นอุทธรณ์โอกาสที่จะชนะจะมีบ้างไหมคะ หรือว่าต้องลงรายละเอียดลึกถึงที่ว่าพยานบุคคลมีหลักฐานอะไรยืนยันว่าคนขับเป็นสามีดิฉันจริง ๆ นอกจากรถและสายตาที่มองในเวลากลางคืน หากท่านมีชัยมีข้อแนะนำที่สามารถช่วยดิฉันได้ ขอความกรุณาด้วยนะคะ เพราะไม่มีสามีดิฉันแล้วครอบครัวดิฉันลำบากจริง ๆ
ขอขอบพระคุณท่านมีชัยมากค่ะ
ผู้เดือดร้อน
เรียน ผู้เดือดร้อน
การเป็นจำเลยในศาลนั้น ถ้าคิดว่าตัวเองรู้กฎหมายโดยไม่รู้จริง ก็มักจะทำอะไรที่ผิดพลาดและนำตัวเองไปสู่คุกได้ จึงควรหาทนายไปว่าความหรือยื่นอุทธรณ์ให้