การเป็นผู้ค้ำประกันรถยนต์กับการถูกฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูควรเลือกอย่างใด
น้องชายได้ทำการจดทะเบียนหย่ากับภรรยาเก่า ด้วยความยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่ายสาเหตุที่ต้องหย่าเพราะมีปัญหาหนี้สิ้นที่ไม่ต้องการร่วมกันรับผิดชอบ แต่ทั้งสองก็ยังอยู่ด้วยกันจนประมาณ 2 ปี มีบุตรเกิดขึ้น 1 คน น้องชายก็ทำการรับรองบุตรเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาได้เลิกลากันไปโดยต่างคนต่างมีครอบครัวใหม่ โดยน้องชายจดทะเบียนใหม่ มีบุตรด้วยกัน 2 คน ส่วนบุตรที่เกิดกับภรรยาเก่า อยู่ในอำนาจปกครองของภรรยา แต่ไม่ได้ตกลงกันในเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตร และไม่ได้ช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูบุตรเลย เพราะตอนนั้นน้องชายมีหนี้สิ้น และเงินเดือนไม่สูงนัก ปัจจุบันปรากฎว่าพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของน้องชายเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ประกอบกับลูกที่เกิดจากภรรยาเก่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยฯ ได้ ภรรยเก่าต้องการซื้อรถซีอาร์วี ราคาล้านกว่าให้ลูกขับไปมหาวิทยาลัยโดยของให้น้องชายเป็นผู้ค้ำประกันให้ น้องชายไม่ยอมค้ำประกันให้เพราะเห็นว่ารถที่จะซื้อให้ลูกนั้นมันเกิดความจำเป็นเกินฐานะในวัยเด็ก ภรรยาเก่าน้องชายไม่พอใจแจ้งมาว่าถ้าไม่เซ็นต์ค้ำประกันให้จะฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้
1.ทราบว่าภรรยาเก่าของน้องชายสามารถเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ใช่หรือไม่
2.และเรียกได้นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนหย่าจนถึงวันที่บุตรบรรลุนิติภาวะ
3.ตอนนี้บุตรเหลือเวลาอีก 3 เดือน จะบรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าเราประวิงเวลาให้ถึงเวลานั้น เราจะหลุดพ้นจากการต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือไม่
4.แต่ถ้าเราประวิงเวลาไม่ได้เพราะภรรยาน้องชายต้องการให้น้องชายเลือกเอาระหว่างการเซ็นต์ค้ำประกันรถยนต์กับการถูกฟ้อง เราควรเลือกอย่างใด
5.ถ้ามีการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูกันจริงๆ หากภรรยาเก่าน้องชายนำสืบพิสูจน์จำนวนค่าอุปการะเลี้ยงดู ศาลจะพิจารณาว่าควรจะเป็นเงินเท่าใด จะมากกว่าราคารถยนต์ถ้าหากภรรยาน้องชายไม่ยอมชำระหนี้หรือผิดนัดชำระค่างวดเกินกว่า 2 เดือน กรณีออกขายทอดตลาดแล้วได้ราคาไม่พอน้องชายต้องจ่ายส่วนที่เหลือ หรือกรณีใดๆก็ตามที่น้องชายในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบ อยากทราบว่าอย่างไหนจะมากกว่ากัน
จึงเรียนรบกวนท่านอาจารย์แนะนำว่าน้องชายควรเลือกอย่างใด ระหว่างเซ็นต์สัญญาค้ำประกันรถยนต์ กับการให้ภรรยาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วย |