กราบเรียนท่านอาจารย์มีชัย
เรื่องของดิฉันมีอยู่ว่า เป็นน้องคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 10 คน ตอนนี้อายุ 51 ปี ในวัย 17-18 ปี ถูกพี่เขย2คนพยายามเกาะแกะ และแอบเข้าหา แต่ไม่สำเร็จ ดิฉันเอะอะก่อน พยายามบอกกับพ่อแม่ พี่ๆ ไม่มีใครฟังหาว่าสร้างเรื่อง ตั้งแต่นั้นมามีแต่ปัญหาในบ้าน ดู พี่สาวก็เหมือนกับสร้างปัญหา ให้พ่อแม่เข้าใจดิฉันผิด เมื่อในบ้านมีปัญหาไม่มีใครให้ความเข้าใจ จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน มาหางานทำเลี้ยงตัวเอง โดยไปอยู่กับเพื่อนชายคนหนึ่ง ซึ่งโตมาด้วยกัน พ่อแม่เขารู้จักกับพ่อแม่ดิฉันดี เมื่อเรื่องถึงขั้นหนีออกจากบ้าน ทุกคนเริ่มคิดได้ แต่สายไปแล้ว เพราะดิฉันคิดว่าคงทนสภาพแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป บ้านมีสมาชิกทั้งหมดอยู่รวมกัน 21คน ในเนื้อที่บ้านหลังเล็ก พร้อมกับปัญหาทะเลาะวิวาทกันทุกวัน ดิฉันอยู่กับผู้ชายคนนี้ และได้ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันไปเป็นครอบครัว ทำงานหาเลี้ยงช่วยกันและกันมา จนมีบุตรด้วยกัน 2 คน ดิฉันออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านพ่อแม่ถึง 15 ปี และในชีวิตครอบครัวของดิฉันก็มีปัญหาบุคคลที่สามเข้ามา ทำให้ครอบครัวเราต้องแยกกันไปคนละทางอีก ดิฉัน สามีปลอมลายเซ้นต์ฝากขายบ้านที่อยู่ด้วยกัน เขาทำเพราะเชื่อการยุยงของพี่สาวของเขา และประจวบเหมาะกับมีหญิงอื่นพัวพันด้วย ดิฉันจึงตัดสินในเลิกกับเขา และกลับมาบ้านพ่อ บ้านแม่ พร้อมกับลูกๆ ตัวดิฉันทำงานเลี้ยงลุก 2 คน เอง เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ได้ยินพ่อประกาศว่า ใครที่ไม่นับถือตามฉัน ก็ไม่มีสิทธิ์ในบ้าน คุณพ่อตอนแรกถือพุทธตามคุณย่า แต่เปลี่ยนตามแม่เป็นอิสลาม ตัวดิฉันไปอยู่กับสามีที่เป็นพุทธ และดิฉันไม่ได้ตามแม่ ก็ยังคงยึดแนวพุทธตามคุณย่า ในเรื่องของการนับถือ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดิฉันเข้าใจดี ดิฉันทำใจแก้ไขความเชื่อไม่ได้ เนื่องจากตั้งแต่เด็กมา พบแต่เรื่องราวที่ทำร้ายความเชื่อในวิถีทางของคุณแม่ยึด มีแต่การอิจฉา ว่าร้ายกัน ทำร้ายกัน ใส่ร้ายป้ายสีกัน การประพฤติผิดต่อคู่ของตนเอง ความไม่ซื่อสัตย์ การโกหก และแม้แต่การทำร้ายพี่น้องกันเองก็ได้เห็น ยอมรับว่านอกรีต แต่การที่ดิฉันเลือกพระรัตนตรัยเป็นที่ยึด เพราะดิฉันมีความรู้สึกร่มเย็น จิตวิญญาณของดิฉันไม่เครียด และเมื่อมีปัญหาในชีวิตดิฉันสามารถพบทางออกได้เร็วด้วยตัวเองเสมอ ยกเว้นในทางกฏหมาย ซึ่งต้องเรียนรบกวนอาจารย์โปรดให้คำแนะนำดิฉัน
เมื่อพ่อพูดว่าเช่นนั้น ดิฉันก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนนอก เพราะว่า ลูกๆ ของดิฉันเป็นพุทธ และในบ้านไม่ยอมรับลูกๆ ของดิฉัน แตกต่างจากหลานๆ คนอื่น ที่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี ในการกิน การอยู่ ดิฉันต้องทำงาน กลับมาบ้านพบลูกนั่งร้องไห้เป็นประจำทุกวัน เพราะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนเหมือนอย่างที่เด็กๆ ทั่วไปควรมีผู้ดูแล ดิฉันตัดสินใจเอาลูกกลับไปให้พ่อเขาเลี้ยงแทน โดยดิฉันช่วยส่งเงินด้วย ให้กับคุณย่าของเด็กทีช่วยดูแลพวกเขา ดิฉันเดินออกจากบ้านพ่อแม่อีกครั้ง ไปหาบ้านเช่าอยู่เอง และทำงานเลี้ยงตัว ลำบากอย่างไรก็ไม่เคยเข้าไปขอความช่วยเหลือใครอีก เพราะรู้ว่าไม่ได้รับการเหลียวแลอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อปี 2535 พ่อ เสียชีวิตแบบไม่มีใครรู้ หมอลงความเห็นว่า เป็นโรคหัวใจล้มเหลว ตอนนั้นดิฉันไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างจังหวัด ดิฉันทำงานเป็นพนักงานแผนกบัญชีของโรงแรมอิมพีเรียลในอดีต ของท่านอากร ฮุนตระกูล ค่ะ พี่ชายโทรบอกว่าพ่อเสีย ดิฉันก็รีบบินกลับมาบ้าน ร่วมพีธีศพคุณพ่อ 5วัน และเดินทางกลับไปทำงานต่อ เพราะในครอบครัว พี่ๆ โดยเฉพาะพี่สาว 3 คน ทำท่าเป็นปฏิปักษ์กับดิฉัน เหมือนปกป้องอะไรบางอย่าง ดิฉันได้แต่พูดกับแม่ และปลอบแม่ คุณแม่ท่านก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรได้แต่ บอกว่า ใครทำอะไรไม่ดี ก็รู้เองทีหลัง ดิฉันไม่ได้ถามว่าพ่อมีเงินหรือมีทรัพย์อะไรบ้าง เพราะคุณพ่อทำงานเป็นหัวหน้าช่างเครื่องยนต์ของโรงงานยาสูบ เท่าที่ทราบจากแม่เล่าให้ฟังว่า พ่อมีเงินเกษียณและเงินสมาชิก ฌาปนกิจ หลายแสนอยู่ ดิฉันไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็ได้แต่บอกแม่ว่า แม่เอาเก็บไว้ใช้ ละกัน ดิฉันก็ส่งเงินให้ท่านเสมอ เมื่อเงินเดือนออก ท่านก็บอกว่า ให้ดิฉันเก็บไว้ เพราะคุณแม่ไม่จำเป็นนัก มีกินมีอยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดในบ้าน พี่ชายคนโต ออกมาตามภรรยาเป็นคริสต์ ก็ถูกพี่สาวคนกลางประกาศว่า พี่ชายไม่มีสิทธิ์ในการจัดการมรดกของพ่อคนกลางเป็นคนจัดการหมดทุกอย่าง พี่สาวคนโต ได้เงินจากพ่อไปซื้อที่ปลูกบ้านอยู่ ของโบราณ จำพวกนาฬิกา ประมาณ 500 เรื่อนในบ้าน ส่วนใหญ่ราคาเรื่อนแสนขึ้น ถูกพี่สาวคนกลางโยกย้าย ถ่ายเทไปหมด เงินของคุณพ่อ พี่ชายได้ข่าวว่า พี่สาวเอาไปซื้อที่ หลายแปลงในกรุงเทพ และพุทธมลฑล ต่างจังหวัด และซื้อรถ อีก 3 คัน ดิฉันกลับมาเยี่ยมแม่ อีกครั้งเพื่อขอผ้าขาวม้าของพ่อเก็บไว้เท่านั้น ปรากฏที่เห็นในบ้าน เป็นอย่างที่พี่ชายบอกจริงๆ ในบ้านถูกโยกย้ายทรัพย์ออกไปเกือบหมด พี่สาวเอาโฉนดบ้านมาให้ดิฉันดู ในนั้นระบุชื่อพี่สาวว่าให้เป็นคนดูแล ดิฉันก็บอกเขาไปว่า เมื่อพ่อให้พี่เป็นคนดูแล ก็ดูแล แต่ไม่ได้หมายความว่า พี่จะสามารถทำทุกอย่างในบ้านได้เสมือนเป็นทรัพย์ของพี่เองทั้งหมด พ่อแม่มีลูก 11 คน ทำไมพี่ชายกับฉันไม่ได้ส่วนที่ควรได้ ถ้าพูดกันตามสิทธิ์ แต่คนอื่นๆ ลุกๆ หลานๆ กับพี่สาวคนอื่น อิ่มเอมกันบนทรัพย์สินเงินทองของพ่อฉัน ลูกๆ ของดิฉันก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลอะไรเลย ใจดิฉันไม่อยากทะเลาะกับพี่ๆ คิดว่ากรรมมีจริง ถ้าไม่โลภ ไม่อยากได้ ก็ไม่มีทุกข์ แต่เห็นพี่ชายคนโตก็กำลังลำบาก ภรรยาเป็นป่วยต้องใช้เงินทองมาก ก็ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากพี่สาวแต่อย่างใด ดิฉันจึงไปขอตรวจโฉนดบ้านที่ที่ดิน พบว่า ลายเซ็นต์คุณพ่อ ผิดปรกติ ไม่เหมือนตามที่เซ็นต์ในบัตรพนักงานยาสูบ และวันที่ที่ลงเป็นระยะหลังจากที่พ่อเสียไปแล้ว แต่เป็นข้อความระบุว่า ให้พี่สาวคนนี้ดูแลบ้าน ดิฉันเห็นก็ตกใจมาก พอไปถามพี่สาวคนนี้ กลับตรงเข้าทำร้ายดิฉัน ตบตีดิฉันด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ดิฉันเสียใจมาก ไม่กล้าต่อสู้ ไม่อยากให้แม่ต้องทุกข์ใจ เพราะเวลาที่เขาพูด จะส่งเสียงดังมาก แม่เป็นคนขี้กลัวการทะเลาะวิวาทมาก ดิฉันได้แต่ลามือออกไป พูดให้พี่สาวมีจิตสำนึกในการกระทำบ้าง แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ คุณแม่ อายุ 95 ปี ป่วยและเดินไม่ได้แล้ว สาเหตุมาจากพี่สาวเอาแม่นั่งรถคันใหม่ที่เขาซื้อพาไปสุราษฏร์ธานี ไปดูบ่อกุ้งที่เขาซื้อไว้ ขากลับรถพลิกค่วำ แม่สะโพกหัก กระดูกแตก ตั้งแต่นั้นมา แม่ทรุดหนัก ตัวพี่สาวไม่มีอาการอะไรเลย พี่ชายพูดว่า ได้แย้งไปแล้วก่อนหน้าจะพาแม่ไป ว่าอย่าเอาแกไป เพราะทางไกล มีคนดูแลแม่อยู่แล้ว พี่สาวไม่ฟังใครดื่อด้านจนเกิดเรื่อง ตอนนี้ ได้ยินว่า เริ่มขายที่เพื่อเอาเงินมาใช้ดูแลแม่ ดิฉันไม่ได้ช่วย เพราะดิฉันไม่อยู่ในฐานะจะช่วยในเรื่องการเงิน ตอนนี้ ดิฉันก็ไม่มีงานทำ แต่ได้รับจากลูกสาวที่ทำงานแล้วเลี้ยงดูให้กินให้ใช้อยู่
ดิฉันอยากเรียนถามว่า ดิฉันควรทำอย่างไรดี เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเป็นลูกเหมือนกัน ดิฉันเคยไปขอร้อง ขอยืมเงินแสนหนึ่ง เพื่อให้ลูกชายทำทุนค้าขาย เขาตีดิฉันและไล่ออกจากบ้านไม่ให้มาย่งกับเขาอีก อ้างว่าทุกวันนี้ เขาต้องรับภาระคนเดียวดูแลแม่ที่กำลังเจ็บ เงินต้องใช้ ดิฉันก็บอกไปว่า หลานสาวโทรมาบอกว่าให้มาเอาเงินบ้างเพราะน้าขายที่ได้เป็นหลายล้านบาท ดิฉันก็บอกไปอย่างนั้น เพราะหลานๆ ก็ได้กันไปคนละหลายแสน แล้วทำไมลูกดิฉันจำเป็นต้องการเงินทำทุน และก็เป็นหลานของเขาเหมือนกัน ทำไมไม่ให้ เขาพูดคำเดียวว่าไม่มีค่ะ ตอนนี้ ลูกชายดิฉันบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็พูดกับดิฉันว่า ให้หยุด และละเสีย..แต่ดิฉันอยากทราบว่าบ้านเมืองมีกฏหมายสำหรับครอบครัวหรือมรดกอย่างไรบ้างคะ ที่พอจะช่วยให้ความเป็นธรรมแก่คนที่กำลังลำบากบ้าง กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะที่ช่วยกรุณาแนะนำ กราบขอประทานโทษถ้าหากคำพูดไม่เหมาะสม หรือยืดเยื้อ แต่ยังมีรายละเอียดอีกมากที่ไม่อยากรื้อฟื้นออกมา เพี่ยงแต่อยากลืมและไม่คิดถึง ด้วยความสัตย์นะคะ ดิฉันมีอายุมาถึง 51 ปีนี้ เพิ่งจะมีความสุขแท้จริงในชีวิต ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ลาภยศสรรเสริญ แต่เป็นเพราะลูกชายได้บวชเป็นพระค่ะ
ขอโมทนาบุญกุศลที่บุตรชายดิฉันได้ปฏิบัติไป ส่งให้ท่านอาจารย์มีชัย ได้พบกับความสุขและมั่นคง เจริญด้วยอายุ วรรณะ ลาภ ยศ สรรเสริญ ตลอดกาลค่ะ
ด้วยความนับถือ
มาลินี หวังชมจันทร์
เรียน คุณมาลินี
ถ้าว่าโดยกฎหมายมรดก หากผู้ตายซึ่งเป็นบิดามิได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์ทั้งหมดจะถูกแยกเป็น ๒ ส่วน (ในฐานะที่เป็นสินสมรส) ส่วนหนึ่งเป็นของมารดา อีกส่วนหนึ่งเป็นของบิดา ส่วนที่เป็นของบิดานั้นจะตกทอดเป็นมรดกได้แก่ ภรรยา และบุตรทุกคนคนละเท่า ๆ กัน
แต่กรณีของคุณดูท่าทางจะยุ่งยากไม่น้อยในการที่จะเข้าไปเรียกร้องสิทธินั้น คงต้องเป็นคดีความกันนานอยู่ เพราะนอกจากจะต้องเป็นเรื่องฟ้องแบ่งมรดกแล้ว ยังอาจต้องฟ้องเพื่อกำจัดทายาทบางคนที่ยักย้ายถ่ายเทมรดกเอา ทั้งยังจะต้องติดตามทวงทรัพย์สินที่ถูกยักย้ายออกไปอีกด้วย ถ้าคิดจะเลือกทางกฎหมายชีวิตต่อไปนี้ก็คงยุ่งยากและต้องลงทุนในการฟ้องร้องคดีกันไปอีกยาวนาน แต่ถ้าเลือกเอาทางธรรม ก็อาจไม่ได้ทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสิทธิ แต่ชีวิตอาจสุขสงบกว่า