เรียน ท่านอาจารย์
ผมได้ซื้อแฟนไซร์สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง ก่อนเข้าไปเซ็นสัญญา ผมได้เข้าไปสำรวจสาขาอื่น และได้พูดคุยกับพนักงานของสาขานั้นที่สำคัญผมได้พบประกาศนียบัตรที่ตั้งโชว์ไว้ ว่า Accredited by Ministry of Education" ที่แปลเป็นไทยว่า ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ และในสัญญาระบุว่า "หลักสูตรการเรียนของบริษัทนี้ ได้รับการรับรองให้ใช้ได้" ซึ่งผมเข้าใจว่าต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาฯแน่นอนตามที่เห็นมาก่อนจึงเข้าเซ็นสัญญาถ้าไม่ได้การรับรองจากกระทรวงผมไม่เข้าทำสัญญาแน่นอน
และในวันเปิดสถาบันสาขาของผมทางบริษัทฯ นั้นได้นำประกาศนียบัตรประเภทเดียวกับที่ผมเห็นในตอนแรกมาตั้งโชว์ไว้ให้มีลายเซ็นเจ้าของบริษัทไว้ด้วย เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ แต่ต่อมาได้ทราบภายหลังจากการสอบถามไปยังกระทรวงฯ โดยกระทรวงมีหนังสือตอบมาเป็นทางการว่า บริษัทฯดังกล่าวเพิ่งยื่นขอหลักสูตรจากกระทรวงและยังไม่ผ่านการรับรอง ผมจึงแจ้งไปยังเจ้าของสาขาที่ผมเข้าไปสำรวจก่อนเซ็นสัญญา
เจ้าของสาขานั้นบอกว่าไม่ทราบมาก่อนจึงส่งสำเนาใบประกาศนียบัตรที่ใช้ประชาสัมพันธ์ที่ผมเห็นในตอนแรกและอีกฉบับที่มีข้อความเช่นเดียวกันซึงแนบอยู่ในคู่มือการบริหารงานมาให้ผมอีกเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีและจะเข้าเป็นพยานรวมถึงอาจจะฟ้องบริษัทดังกล่าวฐานหลอกลวงอีกด้วย
การกระทำดังกล่าวเป็นการหลอกลวงผม พนักงานผม และ ผู้ปกครอง นักเรียน ผมจึงยกเลิกสัญญาไปและจะฟ้องดำเนินคดี เพื่อขอเงินค่าแฟนไซร์ คืน เพื่อนทนายคนหนึ่งแนะว่า แบบนี้ให้ไปแจ้งความไปเลยให้ตำรวจและอัยการฟ้องไป เพราะเข้าข่ายฉ้อโกงหรือหลอกลวงให้ผมเสียทรัพย์ แต่เพื่อนทนายอีกคนยังไม่แน่ใจว่าฟ้องได้กลัวโดนฟ้องกลับให้ฟ้องแพ่งก็พอ แต่คนแรกก็ว่า จะโดนฟ้องกลับข้อหาอะไร ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง ไม่ได้แจ้งความเท็จ มีหลักฐานถึงสองสาขาและพยาน
ผมเลยสับสน ผมต้องการเงินคืน จึงเรียนถามอาจารย์ว่า จะใช้วิธีในดีครับที่จะดำเนินคดี โดยไม่มีปัญหากับผม
ขอขอบพระคุณอย่างสูง
เรียน คุณภู
ถ้าจะฟ้องคดีอาญา ก็ควรดำเนินการโดยผ่านทางเจ้าพนักงานตำรวจ โดยไปแจ้งความเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนการตั้งข้อหาปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยวิธีนี้ คุณก็จะไม่ต้องเสี่ยงภัยต่อการถูกฟ้องกลับ