เรียนอาจารย์มีชัยที่เคารพ

เมื่อ46ปีก่อนคุณพ่อเป็นต่างด้าวซื้อที่ใช้ชื่อพี่สาวโดยเก็บโฉนดไว้กับคุณแม่ แล้วสร้างบ้านอยู่ ลูกสาวแต่งงานไปก่อนสร้างบ้านจึงไม่เคยอยู่บ้านนี้ ก่อนเสียชีวิตได้สั่งเสียแม่ไว้ให้จัดการให้ลูกสาวโอนที่ให้ลูกชายคือตัวผม ต่อมาแม่ให้ลูกสาวโอนแต่ก็ถูกผลัดเรื่อยมาจนคุณแม่เสียชีวิต คุณแม่ได้ทำพินัยกรรมตัดลูกสาวออกจากกองมรดกต่งตั้งผมเป็นผู้จัดการมรดกโดยเขียนเหตุผลที่ตัดไว้ชัดเจนว่า ไม่ยอมโอนที่ดินที่พ่อซื้อ(ระบุแปลงที่ดิน)โดยใช้ชื่อลูกสาวให้กับลูกชายตามเจตนาของพ่อ และยังได้เขืยนด้วยลายมือลงในกระดาษอีกแผ่นทำสำเนาส่งให้ลูกสาว เล่าเหตุการณ์ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวพ่อเป็นคนออกเงินซื้อแต่เป็นต่างด้าวจึงใช้ชื่อลูกสาวแทนเพราะลูกชายอายุไม่ถึงเกณ์ แต่ลูกสาวกลับไม่ยอมโอนให้น้องชาย กลับอ้างว่าเป็นคนซื้อเอง เป็นการกระทำที่ไร้คุณธรรม อย่าลืมว่าสุภาษิตจีนมีว่า เหนือศรีษะเราไม่กี่คืบเป็นที่สถิตของเทพทั้งปวง ทำชั่วผลกรรมย่อมเกิด อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แล้วก็ลงลายมือชื่อและวันที่(ทั้งหมดเขืยนเป็นภาษาจีนครับ)..ขณะเขียนแม่ให้บันทึกภาพไว้ ผมนำหลักฐานฟ้องพี่สาวเพื่อนแบ่งที่ดินเสียไม่อยากให้คนอกตัญญูได้ที่ดินที่เกิดจากหยาดเหงื่อของพ่อแม่ไปศาลรับฟ้องทุนทรัพย์3ล้าน (*1.)อยากทราบว่าเอกสารหลักฐานพอมีน้ำหนักชนะสักกี่%ครับ ตอนนี้พี่สาวผมฟ้องขับไล่ผม ทำทุนทรัพย์ต่ำเป็นคดีมโนสาเร่ ผม(*2.)ควรฟ้องแย้ง(เพราะมีการฟ้องไปสองเดือนแล้วแต่ยังเงียบอยู่)หรือขอรวมคดี แบบนี้จะทำให้ไม่มโนสาเร่หรือไม่ครับ ถ้าศาลไม่รับแย้ง ไม่รับรวมคดี(*3)ผมต้องถูกขับไล่โดยเร็ว(6เดือน)และระหว่างรอผลคดีที่ผมฟ้อง(*4)ใครจะได้อยู่ครับ ผมเป็นผู้จัดการมรดกมีสิทธิอยู่ก่อนคดีเสร็จสิ้นหรือไม่ครับ ช่วยแนะนำวิธีที่น่าจะดีสุดด้วยในมุมมองของอาจารย์ครับ ทนายผมมีแต่ผมอยากศึกษาจากหลายแหล่งโดยเฉพาะกับอาจารย์ครับ..รบกวนตอบสั้นๆก็ยังดีครับ ผมอ่านคอลั้มต่างๆของอาจารย์มาก อยากให้ประเทศไทยมีคนช่วยสังคมอย่างอาจารย์มากๆครับ   

เรียน คุณบุญมา

1. หลักฐานดังกล่าวน่าจะมีน้ำหนัก แต่ก็เป็นพยานบอกเล่า เพราะไม่มีตัวมานำสืบ จึงต้องระวังให้ดี

2. ควรฟ้องแย้ง หรือมิฉะนั้นก็ยื่นคำร้องให้ศาลรวมคดี

3. ถ้าคดียังไม่ถึงที่สุด (ในกรณีรวมคดี) คุณก็ยังอยู่ต่อไปได้