ศาลแพ่งสั่งบอร์ดทอท.เลิกให้ข่าวคิงเพาเวอร์
เรียน อ.มีชัย
สืบเนื่องจากกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ฯ ได้ยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ต่อศาลแพ่ง โดยมีเนื้อหา คือ
คิงส์ เพาเวอร์ ยื่นฟ้องทอท. เรียกคืน 7 หมื่นล้านหลังสั่งโมฆะสัญญาดิวตี้ฟรี
บริษัทเครือ คิงส์ เพาเวอร์ ผู้ดำเนินการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีมอบหมายนายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความเป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ต่อศาลแพ่งรวม 2 สำนวน สำนวนที่ 1 บริษัทคิงส์เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยนายสมบัตร เตชาพานิชกุล กรรมการผู้มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง ทอท. เป็นจำเลยเรียกทรัพย์คืน จำนวนทุนทรัพย์ 20,878,512,019 บาท พร้อมดอกเบี้ย7.5% ต่อปี และสำนวนที่ 2 บริษัท คิงส์ เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด โดยนายสมบัตร เตชาพานิชกุล กรรมการผู้มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง ทอท.เป็นจำเลยเรียกทรัพย์คืนจำนวนทุนทรัพย์ 48,074,147,549 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 %
คำฟ้องโจทก์สรุปว่า โจทก์เป็นผู้ดำเนินกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีประจำท่าอากาศยานนานาชาติมานาน จนเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียง เมื่อปี 2547 โจทก์ทราบว่าจะมีการย้ายท่าอากาศยานกรุงเทพ(ดอนเมือง)ไปอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โจทก์จึงเสนอเรื่องขอประกอบกิจการโดยทำเป็นลักษณะต่ออายุ เพื่อเข้าบริหารพื้นที่กับรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม(ขณะนั้น) เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้สัญญาต่ออายุดังกล่าว โจทก์ได้ให้คำมั่นว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเกื้อกูลแก่จำเลย มูลค่า 15,000 ล้านบาทต่อ 10 ปี เพื่อแลกกับการที่โจทก์จะเข้าไปเปิดร้านจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี ทั้งนี้การต่อสัญญาดังกล่าวทางจำเลยได้เปิดให้บริษัทเอกชนรายอื่น ๆ เข้าร่วมประมูลแข่งขัน โดยจำเลยได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบประวัติของผู้เข้าแข่งขัน เห็นว่าบริษัทโจทก์เคยประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีมานาน จนได้รับรางวัลระดับชาติ มีเงินทุนหมุนเวียนนับหมื่นล้านบาท จึงพิจารณาเห็นชอบให้บริษัทโจทก์ชนะประมูล เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่สนามบิน . ซึ่งโจทก์ก็มีหน้าที่ตามสัญญาต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็นงวดจนกว่าจะครบสัญญา
ต่อมาเมื่อมีการเลื่อนการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ จำเลยได้เรียกบริษัทโจทก์ไปทำสัญญาบันทึกข้อตกลงท้ายสัญญาเดิม ให้โจทก์ดำเนินกิจการต่อไปในปี 2559-2560 เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายเวลาเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งบริษัทโจทก์ตกลงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่จำเลยอีกร้อยละ 20 ของยอดจำหน่าย
ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือแจ้งขอเลิกสัญญาทั้งหมด อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเนื่องจากโครงการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีภายในสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินภูเก็ต สนามบินหาดใหญ่ ที่โจทก์ได้เข้าทำสัญญานั้นเป็นโครงการมีมูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งตาม พ.ร.บ.เอกชนเข้าร่วมงานในการกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 จะต้องผ่านความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรี(ครม.) แต่โครงการของโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันรัฐบาลซึ่งเป็นคู่สัญญา และไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ในการเข้าใช้พื้นที่ ทั้งยังแจ้งว่าบริษัทโจทก์ได้ทำการต่อเติมพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้เกิดความเสียหาย ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ขาดความปลอดภัย จึงสั่งให้บริษัทโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากสนามบินสุวรรณภูมิ
โจทก์เห็นว่าการบอกเลิกสัญญาของจำเลยโดยอ้างเหตุเป็นโมฆะนั้น เป็นการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ บริษัทโจทก์ได้ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการของจำเลย โดยมีการศึกษาประวัติการประกอบการ เมื่อโจทก์เริ่มลงทุนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง จ้างบริษัทศึกษาผลได้ผลเสียทางธุรกิจ จ้างบุคลากร รวมทั้งสั่งซื้อสินค้า เครื่องอุปโภค บริโภค จากทุกมุมโลกมูลค่ามหาศาลมานานกว่า 3 ปี โดยบริษัทโจทก์ต้องไปกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ อันมีภาระดอกเบี้ยเป็นเงาตามตัว ทั้งที่คณะกรรมการพิจารณาของจำเลยมีผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นชอบอนุญาตให้บริษัทโจทก์ เข้าใช้พื้นที่ แต่ปัจจุบันจำเลยกลับขอเลิกสัญญา ทั้งที่เกิดจากการกระทำของจำเลยเอง ต้องถือว่ากรณีของโจทก์เทียบเคียงได้กับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2540 ที่กองทัพบกสั่งซื้อเลื่อยยนต์จากเอกชน แล้วไม่สามารถรับมอบสินค้าได้ต้องถือว่าเป็นกรณีการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย โดยที่เอกชนไม่ต้องรับผิด และส่วนราชการมีหน้าที่ชำระหนี้ต่อแทนแก่เอกชน
ดังนั้นโจทก์จึงฟ้องขอเรียกทรัพย์อันเกิดจากการที่โจทก์ได้ลงทุนจ้างคน จ้างงาน ก่อสร้างสั่งซื้อสินค้า ค่าภาระภาษี ที่ลงทุนในสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินภูเก็ต สนามบินหาดใหญ่ ค่าเสียหายจากการขาดรายได้คืนโดยเป็นทุนทรัพย์ตามคำฟ้องทั้งสองสำนวน และขอให้จำเลยคืนหนังสือสัญญาค้ำประกันและคืนเงินประกันที่โจทก์ได้จ่ายไปล่วงหน้าให้แก่โจทก์ด้วย
ศาลแพ่งรับคำฟ้องไว้ และนัดชี้สองสถาน......
ต่อมาทาง บริษัท ท่าอากาศยานไทย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งโดยให้ นำคดีดังกล่าวไปฟ้องร้องที่ศาลปกครอง (ศาลแพ่งอยู่ระหว่างการส่งเรื่อง) และในวันที่ 11 ต.ค. 2550 ที่ผ่านมา บอร์ด ทอท.ได้ยื่นยันมติให้คิงเพาเวอร์รื้อถอนร้านค้าปลอดภาษีออกจากพื้นที่ภายใน 60 วันหลังจากที่ได้รับหนังสือ หรือประมาณไม่เกินเดือนธันวาคมนี้
แต่เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา ทางศาลแพ่งได้สั่งให้ทนายของทอท.ไปบอกให้บอร์ดทอท.เลิกให้ข่าวเกี่ยวกับคิงเพาเวอร์
จากเรื่องข้างต้นนี้ สื่อมวลชนสามารถวิจารณ์ศาลแพ่งได้หรือไม่ เพราะเปรียบเสมือนเข้าข้างคิงเพาเวอร์ ทั้งๆ ที่กฎหมายถือว่าบอร์ดทอท.ชุดปัจจุบันที่มีพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมีอำนาจตัดสินใจให้คิงเพาเวอร์รื้อถอนออกจากพื้นที่ได้ เพราะสัญญาก่อนหน้านี้บอร์ดชุดนี้ให้ถือว่าเป็นโมฆะ
(เรื่องยาวนิดนะคะ รบกวนด้วยค้า)
ด้วยความเคารพ
ภัทร์
|