ผมได้อ่านพบข่าวอ.ปุรชัยในฐานะสมาชิกสนช.เสนอแก้ไขประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาในส่วนเกี่ยวกับเรื่องอำนาจในการทำความเห็นแย้งการสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการซึ่งมีการเสนอแก้ไขให้เป็นอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค อ่านพบแล้วรู้สึกตกใจ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบต่อกระบวนการดำเนินคดีอาญาซึ่งมีผละกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและความสงบสุขของสังคม ก่อนหน้านี้หลักการที่ใช้กับเรื่องดังกล่าวคือการคานอำนาจ(check and balance)ระหว่างหน่วยงานของรัฐคือพนักงานสอบสวน (ตำรวจ-พนักงานอัยการ-ฝ่ายปกครอง) แต่การแก้ไขของอ.ปุรชัยจะทำให้หลักการนี้ถูกทำลายไป ซึ่งต่อไปพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) สอบสวนแล้วมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องและพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา แล้วผู้ที่จะมากลั่นกรองลำดับสุดท้ายก็กลายเป็นหน่วยงานตำรวจอีก ผมเห็นว่าในต่างจังหวัดฝ่ายปกครองน่าจะมีบทบาทอย่างมากในการคานอำนาจดังกล่าว เนื่องจากฝ่ายปกครองมีหน้าที่ใกล้ชิดกับประชาชน มีโอกาสจะได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกในท้องที่ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพิจารณาทำความเห็นแย้ง อีกทั้งฝ่ายปกครองยังมีที่ทำการปกครองจังหวัดซึ่งมีนิติกรเฉพาะสำหรับกลั่นกรองให้ความเห็นเสนอแนะข้อกฏหมายต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ และในส่วนกลางยังมีส่วนอำนวยความเป็นธรรม สำนักงานสอบสวนและนิติการ กรมการปกครองคอยกำกับดูแลเกี่ยวกับเรื่องการทำความเห็นแย้งของผู้ว่าราชการจังหวัดโดยเฉพาะเช่นเดียวกัน ผมเองรับราชการอยู่ในส่วนภูมิภาคมานานพอสมควรจึงได้รับทราบข้อเท็จจริงและข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับการสั่งไม่ฟ้องคดีจึงไม่สามารถนำมาบอกเล่าในที่นี้ได้ แต่คิดว่าท่านอ.มีชัยน่าจะพอคาดเดาได้ ผมจึงหวังว่าท่านอาจารย์และสมาชิกสนช.คงจะช่วยอภิปรายกลั่นกรองกฏหมายฉบับนี้โดยคงหลักการคานอำนาจ (check and balance) เอาไว้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก อนึ่ง ผมมีตัวอย่างหลายคดีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ช่วยผดุงความยุติธรรมของสังคมด้วยการทำความเห็นแย้งเอาไว้ เช่น คดีร่วมกันโทรมหญิงที่จ.ระยอง หรือคดีเกี่ยวกับสถานบริการ(การจัดระเบียบสังคม)ในจ.นครสวรรค์ ซึ่งมีการท้าทายกฏหมายเป็นอย่างมาก เป็นต้น โดยที่คดีดังกล่าว อัยการสูงสุดได้สั่งคดีตามความเห็นแย้งของผู้ว่าราชการจังหวัด ท้ายที่สุดนี้ จึงใคร่จะเรียนถามความเห็นส่วนตัวของท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่าท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไร