เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 50 ได้ตกลงเซ้งตึกแถวจากเจ้าของสิทธิ์เดิม (ซึ่งหมดอายุสิทธิ์กับกรมศาสนาพอดีแต่ไม่มีเงินไปต่อสัญญา จึงเซ้งต่อ) จึงไปเดินเรื่องที่กรมศาสนา ขั้นตอนจะมีการทำเอกสารต่ออายุสัญญาเป็นชื่อเจ้าของเดิมก่อน และทำเอกสารโอนลอยจากเจ้าของเดิมเป็นดิฉันเตรียมรอเลย นอกจากนั้นมีหลักฐานสัญญาจะซื้อจะขาย และถ่ายเอกสารเช็คทุกฉบับพร้อมลายเซ็นต์เจ้าของเก่าว่ารับเช็คไปแล้ว จากนั้นในวันเดียวกัน แม่ของเจ้าของเก่า(สมมุติชื่อ นาง ก.) ก็ขอเช่าให้ครอบครัวได้อยู่ต่อ โดยแจ้งว่า ขอเวลาในการสร้างหรือซื้อบ้านใหม่ โดยตกลงเช่าต่ออีก 6 เดือน มีการวางเงินประกัน 2 เดือน+จ่ายล่วงหน้า 1 เดือน ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่เช่าอยู่แล้วอีกท่าน (สมมุติชื่อ นาง ข.) มาขอเช่าทั้งตึกด้วย ดิฉ้นเลยขอผลัดนาง ข. เป็นหลังจากครบ 6 เดือนคือในวันที่ 31 สิงหาคม ให้มาเช่าทั้งตึกได้
ตอนต้นส.ค. นาง ก. ก็มาขอขยายสัญญาเช่า ก็เลยบอกไปว่าไม่ได้เพราะรับปากนาง ข. ไว้แล้ว และเซ้นต์ล่วงหน้าไว้แล้ว ทำให้นาง ก. โกรธมาก ไม่ยอมชำระเงินค่าเช่าเดือนส.ค และพอครบสิ้นเดือนก็ไม่ยอมย้ายออก ไม่ยอมไปเซนต็สัญญาเช่ากับนาง ข. และไม่ยอมไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และยังตั้งตัวเป็นเหมือนผู้มีสิทธิในตึก โดยยังไปเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าห้องต่าง ๆ ในตึกด้วย และไปด่าว่านาง ข. ทุกวัน อีกทั้งยังบอกว่าดิฉัน (ซึ่งชำระเงินครบแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ไปโอนสิทธิอย่างถูกต้อง) ไม่ใช่เจ้าของตึก และจะไปจ้างทนายความมาฟ้องดิฉัน จึงขอถามดังนี้ค่ะ
1.ดิฉันควรให้ตำรวจมาไกล่เกลี่ยก่อนดีมั๊ยคะ (แต่เคยได้ยินภายหลังว่า นาง ก. เคยเป็นหนี้หลายแสน เจ้าหนี้เอาตำรวจมา ก็ไม่กลัว) หรือควรฟ้องขับไล่เลย และมีโอกาสชนะกี่ % ใช้เวลานานมั๊ยกว่าจะขับไล่ได้ ต้องเสียค่าทนายความประมาณเท่าไรคะ
2. ดิฉันสามารถฟ้องเจ้าของเก่า ขอเงินคืนได้มั๊ยคะ เนื่องจากเลยกำหนดวันโอนในสัญญาจะซื้อจะขายมาแล้ว (ปลายเดือนพ.ค.) หรือควรฟ้องเฉพาะกรณีไม่สามารถโอนสิทธิได้เท่านั้น ซึ่งจากหลักฐานการชำระเงินจะทำให้ดิฉันชนะมั๊ยคะ
3.รบกวนขอให้ช่วยแนะนำ ทนายความที่มีประสบการณ์คดีแบบนี้ให้หน่อยได้มั๊ยคะ
ขอขอบพระคุณมากค่ะ
ปริม
การคิดอ่านไปหาทนายความน่ะถูกต้องแล้ว เมื่อได้ทนายความแล้วก็ถามคำถามเหล่านี้เสียทีเดียว ที่ถามเพราะตอบไม่ได้ เนื่องจากข้อเท็จจริงไม่ชัดเจนเพียงพอ สำหรับทนายความนั้นคงต้องหาเอง