ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    022806 เหนื่อยใจรุ่ง1 สิงหาคม 2550

    คำถาม
    เหนื่อยใจ

    เรียน  ท่านอาจารย์มีชัย ที่เคารพ

             หนูรบกวนเรียนถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวซึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ทำให้หนูต้องเหนื่อยใจและคิดมากอยู่ดี  หนูอายุ 28 ปี แฟนอายุ 32 ปี อยู่ด้วยกันมาได้ 4 ปีกว่าๆ แล้วและมีบุตรด้วยกัน 1 คน อายุ 1 ขวบ 9 เดือน แต่เราไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ตอนอยู่ด้วยกันใหม่ๆ อะไรมันก็ดีไปหมด เหมือนกับคู่อื่นๆ นั่นแหละค่ะ แต่พอมาพักหลังๆ นี่สิ มันสารพันปัญหาเข้ามาทุกอย่าง ทั้งเรื่องเที่ยวกลางคืน ติดเหล้าเมาแล้วทะเลาะกัน หนี้สินที่เขาสร้างขึ้นโดยที่เราไม่รู้แต่หนูก็ต้องรับผิดชอบ และหนี้สินที่หนูสร้างขึ้นเองเพื่อสภาพคล่องของภาระค่าใช้จ่ายที่มันเพิ่มขึ้นทุกวัน (เงินเดือนเขาหนูเป็นคนรับเองมาตั้งแต่แรกแล้วเพราะทำงานที่เดียวกัน) ทั้งในส่วนที่เขารู้และไม่รู้แต่ก็น่าที่จะเข้าใจในความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละวันและหนี้ส่วนที่เขาสร้างไว้ในแต่ละเดือนพอหักกลบจากเงินเดือนเขาที่หนูรับมาเองก็แทบจะไม่เหลือไว้จุนเจือในครอบครัวเลย เหลือเพียงส่วนที่เป็นเงินเดือนของหนูซึ่งก็ได้เยอะกว่าเขาเล็กน้อยแต่ก็ต้องใช้ในครอบครัวทุกอย่างทั้งค่าผ่อนบ้าน ค่าเลี้ยงดูลูก ค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ค่าผ่อนรถ สินเชื่อเงินกู้ บัตรผ่อนสินค้าและบัตรเครดิตอื่นๆ ที่หนูจำเป็นต้องทำเพื่อนำมาใช้หมุนเวียนในครอบครัวเพราะลำพังเงินเดือนมันไม่พอจ่ายอยู่แล้ว  ปัญหาหลายๆ อย่างก็เลยเกิดขึ้นตามมาแต่หนูก็ต้องรับผิดชอบเองทั้งนั้นโดยที่ไม่ได้ปรึกษาเขาเพราะไม่อยากทะเลาะกัน พอหนูแก้ปัญหาได้เขาไม่คิดเลยหรือว่าหนูทำยังไงต้องบากหน้าไปหาใครบ้างก็ได้แต่สร้างเรื่องสร้างปัญหาไม่ลดละอยู่เหมือนเดิมและนับวันยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิมแต่หนูก็อดทนมาจนทุกวันนี้เพราะไม่อยากให้ลูกต้องเห็นครอบครัวในสภาพที่แตกแยกและหนูไม่อยากไปเดินหางานใหม่เพราะเงินเดือนสตาร์ทใหม่ต้องต่างกันมากกับที่หนูได้รับอยู่ในตอนนี้และงานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่หนักหนาเพราะเรารู้งานหมดแล้ว ถ้าเขาเข้าใจหนูและไม่สร้างปัญหาเรื่องเงินคงไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้หนูไม่มีความสุขกับครอบครัว หนูต้องกราบเรียนขอโทษอาจารย์ด้วยที่ต้องร่ายยาวก่อนตั้งคำถามเพราะมันเป็นต้นเหตุของเรื่องที่จะถามดังนี้ คือ ก่อนหน้านี้แฟนหนูมักจะมาขอตังค์จากหนูทีละ 5,000 บาท โดยอ้างเหตุผลนั่นนี่อยู่ตลอด บางทีก็เบิกล่วงหน้าจากบริษัทบ้าง เม้มส่วนที่ให้ไปใช้ในงานบริษัทบ้าง หนูก็ต้องรับผิดชอบและบริษัทก็ต้องหักจากเงินเดือนอยู่ดีแล้วก็ชอบพูดทีหลังว่าไม่ได้ใช้เงินและหาเรื่องหนูอยู่ตลอดว่าใช้เงินยังไงไปกู้มาทำไมนักหนา เลยทำให้การวางแผนในการใช้จ่ายเงินที่หนูได้คิดไว้ไม่เป็นไปตามที่คิด หนูจึงได้สมัครบัตรเครดิตเพิ่มอีกเพื่อหาเงินมาใช้หมุนเวียนแต่ก็เผื่อใจไว้ว่าคงจะไม่ผ่านแต่เขาก็อนุมัติมาให้ และหนูได้รับบัตรมาก็ได้ใช้จ่ายทั้งซื้อของและเบิกเงินสด วันหนึ่งหนูตั้งใจจะไปเบิกเงินสดมาเพื่อใช้จ่ายเพิ่มแต่พอสอดบัตรเข้าไปในตู้เอทีเอ็มโดยยังไม่ทันได้กดรหัสเอทีเอ็ม เครื่องได้กลืนบัตรเข้าไป หนูจึงโทรอายัดและให้เขาออกบัตรใหม่ให้ ประมาณ 1 สัปดาห์เขาส่งบัตรเครดิตใหม่มาให้หนูและหนูต้องรอรับรหัสเอทีเอ็มใหม่อีกเหมือนเดิมภายใน 2 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับบัตรแล้วแต่ครบ 2 สัปดาห์แล้วหนูก็ยังไม่ได้รับรหัสเลยโทรถามเจ้าหน้าที่และเช็คยอดเงินก็ยังเหลืออยู่บางส่วนหลังจากที่เคยใช้ไปแล้ว เจ้าหน้าที่บอกให้รออีก 1 อาทิตย์ ถ้ายังไม่ได้รับให้โทรขอรหัสใหม่ได้เลย หนูไม่ได้รับก็เลยโทรหาเจ้าหน้าที่อีกแต่เขาบอกว่ามีการใช้บัตรกดเงินสดไป 2 ครั้ง เมื่อ 2 วันที่แล้ว รวมแล้วเป็นเงิน 15,000 บาท ทั้งๆ ที่บัตรนั้นก็ยังอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของหนู พอมาถามแฟนก็บอกว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้เอาไป ทั้งๆ ที่เมื่อคิดย้อนกลับไปดูจากพฤติกรรมต่างๆ ของเขาเมื่อวันที่เกิดเหตุและจากการได้พูดให้ญาติผู้ใหญ่ฟังต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นคนๆ เดียวกันคนนี้เท่านั้นแหละ แถมหลักฐานพยานก็มีทั้งตอนที่เขาได้รับจดหมายที่ส่งมาบอกรหัสเอทีเอ็มของหนู เพราะช่วงนั้นหนูลางานอยู่ 2-3 วัน และหนูได้โทรเช็คกับทางเจ้าหน้าที่ถึงวันเวลาที่เกิดเหตุก็เป็นเวลาที่เขาออกมาทำงานและตู้ที่กดเงินออกไปก็อยู่ใกล้ๆ บ้านทางผ่านไปที่ทำงานอยู่แล้วและที่สำคัญเป็นตู้เดียวกันกับตู้ที่กลืนบัตรเครดิตหนูเข้าไปนั่นเอง และจากที่เขาไม่มีเงินติดตัวซักบาทก็กลับกลายเป็นว่ามีเงินมาใช้จ่ายอย่างสบายและเหลือติดกระเป๋าสตางค์เขาอีกตั้งหลายพันบาท แล้วจะให้คิดว่าเป็นคนอื่นได้ยังไง แต่เขาก็ยังปฎิเสธเสียงแข็งอยู่ดีแถมยังร้อนตัวทั้งๆ ที่หนูยังไม่ได้พูด เขายังยืนยัน นอนยัน บอกจะไปสาบานอีกและท้าให้ไปแจ้งความจับเลย หนูแจ้งความไว้แล้วทั้งที่รู้ว่าเป็นเขาแน่นอนอยู่แล้วและรู้ว่าเป็นคดีอาญาจากการที่ทางธนาคารได้แจ้งไว้ว่าถ้าดำเนินเรื่องแล้วจับได้ว่าเป็นคนในครอบครัวเดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมรับสารภาพซะทีหนูก็เลยอยากจะทำให้เขาเข็ดหลาบในการโกหก หลอกลวง แต่ถ้าเดินเรื่องก็กลัวเป็นเรื่องใหญ่แถมยังต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้างก็ไม่รู้ หนูจึงคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี ถ้ายื่นเรื่องกับธนาคารแล้วเขาตรวจสอบว่าเป็นแฟนหนูจริง ธนาคารต้องดำเนินการต่อไปยังไง หนูถอนแจ้งความได้หรือเปล่า หรือถ้าเอาผิดเขาเข้าจริงมีโทษอย่างไรบ้าง ระยะเวลาที่ต้องจำคุก ค่าปรับเท่าไหร่ ทั้งจำทั้งปรับหรือยังไง ช่วยตอบคำถามหนูด้วยนะคะ เหนื่อยและอัดอั้นตันใจมากแต่ต้องทำอะไรสักอย่าง ขอบพระคุณมากค่ะ

    คำตอบ

    เรียน คุณรุ่ง

        ถ้าคุณเอาเรื่องต่อไปและตำรวจสอบสวนพบว่าสามีคุณเป็นคนไปดำเนินการ เขาก็ต้องแจ้งข้อหาเป็นคดีอาญา แล้วในที่สุดคุณเองนั่นแหละก็จะต้องไปหาเงินมาประกันตัวเขาออกมา มิฉะนั้นเขาอาจถูกออกจากงานได้ แ ละเมื่อออกมาแล้ว แทนที่คุณจะเป็นผู้เสียหายนั่งภาวนาให้คนร้ายถูกจำคุก คุณเองนั่นแหละจะต้องไปวิ่งเต้นจ้างทนายความมาเพื่อช่วยสามีให้พ้นจากคุก  ลองคิดดูก็แล้วกันว่าเมื่อเดินหน้าต่อไปแล้วคุณจะทำอย่างที่ว่ามานี่หรือไม่ หรือจะนั่งเฉย ๆ รอให้ตำรวจส่งสามีฟ้องศาลและค่อยไปเยี่ยมเขาที่ในเรือนจำ  ในที่สุดเงินที่เสียไปแล้วหมื่นกว่าบาท ก็จะไม่ได้คืน แถมยังจะต้องเสียค่าดำเนินคดีอีกซึ่งอาจเป็นเงินแสนก็ได้

        อันที่จริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะโทษสามีคุณก็ไม่ได้ เพราะคุณเลี้ยงสามีเหมือนเลี้ยงลูก คือคอยรับเงินเดือนเขามาให้ แล้วคอยดูแลให้เขามีเงินใช้ไม่ขาดมือ  เขาก็ย่อมกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบในครอบครัว เพราะถึงอย่างไรคุณก็หาเงินมาให้เขาใช้ ส่วนจะพอหรือไม่พอก็ไม่ใช่เรื่องของเขา

        แต่ทั้งหมดนี้เรื่องที่คุณเหนื่อยใจอยู่ในเวลานี้ ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่คุณจะต้องเหนื่อยใจในวันข้างหน้า ซึ่งคงจะมาถึงไม่นานนัก นั่นคือ ความเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะบรรดาบัตรเครดิตที่คุณได้รับมาและใช้ไปนั้น มันจะมากขึ้น ๆ เมื่อถึงเวลาไม่มีเงินไปชำระ ดอกเบี้ยจะเพิ่มพูนมหาศาล  และเจ้าหนี้เหล่านั้นเขาก็มีวิธีในการทวงถามเพื่อให้คุณได้อับอาย  แต่ไม่ว่าจะอับอายอย่างไรเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งคุณก็จะไม่มีทางชำระหนี้ได้  และในที่สุดเขาก็คงต้องฟ้องร้อง ถ้าหนี้ถึงหนึ่งล้านบาท เขาก็ฟ้องล้มละลาย ถ้าไม่ถึงเขาก็ฟ้องเพื่อเรียกหนี้คืน เมื่อไม่มีไปชำระ เขาก็มาอายัดเงินเดือน ยึดทรัพย์สินและบ้านช่องไปขายเพื่อนำเงินไปชำระหนี้  โดยส่วนใหญ่เมื่อเจ้าหนี้มายึดทรัพย์ไปขายแล้ว อย่านึกว่าหนี้จะหมด เพราะส่วนมากจะชำระได้เพียงดอกเบี้ยบางส่วนเท่านั้น ส่วนเงินต้นจะไม่ค่อยได้ใช้  ในที่สุดหมดตัวแล้ว หนี้ก็จะยังคงอยู่ งานก็จะไม่มีทำ  สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่น่ากริ่งเกรงและเหนื่อยใจยิ่งกว่า

     


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    1 สิงหาคม 2550