 | ขอคำแนะนำชี้แนะ
เรียน ท่านมีชัยฯ ที่เคารพอย่างสูง
ดิฉันขอเรียนถามปัญหาต่อไปนี้ค่ะ...ดิฉันสมรสกับนาย ก.ซึ่งเป็นพ่อหม้ายลูกติด 1 คน ก่อนที่เราจะสมรสจดทะเบียนกันนั้น นาย ก. ได้หย่าและมีปัญหากับภรรยาเก่าของเค้า คือ เรื่องลักทรัพย์ ในระหว่างที่ทั้งสองดำเนินคดีกันอยู่นั้น ดิฉันไม่เคยทราบเรื่องเก่าๆ ของนาย ก.มาก่อนเลยว่านาย ก.มีหนี้สินหรือมีปัญหาอะไรกับใครมาบ้างทราบเพียงแต่ว่ามีที่ดินที่เป็นชื่อนาย ก. อยู่ 2 แปลง (แปลงที่ 1 ได้มาจากบิดานาย ก. ยกให้โดยเสน่หา ส่วนแปลงที่ 2 นาย ก. กับภรรยาเก่าได้ไปยืมเงินของบิดานาย ก. มาซื้อด้วยกัน โดยให้บิดาของนายก.ได้ให้นาย ก. เป็นผู้ลงชื่อกู้ยืมเงินในสัญญาเงินกู้ไว้) ก็เลยจดทะเบียนแต่งงานและ(ปัจจุบัน) มีบุตรด้วยกัน 2 คน อยู่กันได้ประมาณ 3 ปีเศษ ตอนนี้ดิฉันทนพฤติกรรมเฉยๆ อะไรก็ได้ของนาย ก. ไม่ไหวแล้ว จึงขอหย่าและแยกทางกันเพื่อความสบายใจของดิฉันและลูกๆ ที่ดิฉันต้องดูแลทั้งหมด โดยที่ผ่านมาในระหว่างที่อยู่กินกับนาย ก. กันได้ประมาณ 3 เดือนเศษก็มีหนังสือทวงหนี้มาจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งให้ นาย ก. นำเงินจำนวน หลักสองแสนครึ่งไปชำระที่ดินที่นาย ก. จำนองไว้มิฉะนั้นทางสถาบันการเงินฯ จะฟ้องร้องเพื่อบังคับคดีต่อไป ดิฉันก็ตั้งสติถามนาย ก. ถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ภรรยาเก่าลักทรัพย์กับเรื่องที่สถาบันการเงินมีหนังสือมาทวงหนี้ ได้ความจากนาย ก. ว่า ในระหว่างที่นาย ก. อยู่กินจดทะเบียนกับภรรยาเก่าของเค้านั้น ทั้งสองได้นำโฉนดที่ดินแปลง (2) ที่ยืมเงินบิดาไปซื้อนั้น ไปจำนองไว้กับธนาคารฯ เอาเงินมาซื้อรถยนต์และสร้างบ้านอยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นได้ขอสับเปลี่ยนโฉนดที่ดินเป็นแปลงที่ (1) ที่บิดายกให้นาย ก. โดยเสน่หาไปวางจำนองไว้แทน โดยขอเพิ่มวงเงินกู้เพิ่มขึ้นอีก เพื่อนำมาใช้จ่ายในครอบครัว และทั้งสองก็ยังนำที่ดินแปลงที่ 1 (ที่ถูกสับเปลี่ยนไปเป็นประกันกับเจ้าหนี้รายสามัญอีกในวงเงิน 50,000.-บาทอีก หลังจากนั้นทั้งนาย ก. และภรรยาเก่าก็ไม่ได้ส่งดอกเบี้ยหรือเงินต้นใดๆ กับสถาบันการเงินและเจ้าหนี้สามัญเลยจนกระทั่งเวลาล่วงมาประมาณ 3 ปี ระหว่างนี้เองที่ทั้งสองหย่ากันและมีปัญหาเรื่องลักทรัพย์ (รถยนต์) กัน พอดิฉันได้ความต่างๆ จากนาย ก.แล้วและดิฉันได้รับการขอร้องจาก นาย ก. และญาติๆ ของนาย ก. ว่าให้ช่วยหาเงินให้ประมาณ 250,000.-บาท เพื่อให้นาย ก. ยืม นำไปไถ่ถอนที่ดินแปลงที่จำนองธนาคารฯ และเจ้าหนี้รายสามัญอยู่ให้เสร็จสิ้น ดิฉันก็ดินรนไปขายเช็คกับลูกค้าของดิฉันจำนวน 1 ใบ 300,000.-บาท (ตอนนั้นก่อนแต่งงานกับนาย ก.ดิฉันทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างด้วย) และนำเงินมาให้ นาย ก.กู้ยืม โดยให้นาย ก. เขียนสัญญาเงินกู้ไว้ 1 ใบ ระบุจำนวนเงิน..วันเวลาที่จะชำระคือน..และเงื่อนไขว่าหากไม่สามารถนำเงินมาคืนได้จะยกที่ดินแปลงที่ยืมเงินไปไถ่ถอนให้แก่ดิฉันแทนการชำระหนี้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น เท่านี้ดิฉันก็โอเค ให้เงินนาย ก. ไป 300,000.-บาท และไปกับนายก.ด้วยในขณะที่นำเงินไปไถ่ที่ดินที่ธนาคารฯ และที่เจ้าหนั้รายสามัญ ดิฉันกับ นาย ก. ก็ได้โฉนดที่ดินกลับมาทั้ง 2 ใบ กอดเว้ได้สัก 2 เดือน ดิฉันจะต้องนำเงินที่ดิฉันเอาเช็คไปเป็นประกันอยู่คืนแก่เจ้าของแล้ว ดิฉันจึงบอกกับนาย ก. ว่าต้องการเงิน 300,000.-บาทคืนแล้ว ให้เอาโฉนดไปไว้กับธนาคารฯ ต่อเถอะ นาย ก. ก็ตกลง เราก็นำโฉนดทั้ง 2 แปลงไปจำนองที่ธนาคารฯ ต่อ แต่ปรากฎว่าได้เงินมาไม่ครบ 300,000.-บาท ได้มาเพียง 200,000.- ยังขาดอีก 100,000.-บาท ดิฉันขายรถยนต์ (ส่วนตัวของดิฉันไป 100,000.-บาท) เพื่อนำเงินมารวมกันให้ครบ 300,000.-บาท เพื่อคืนแก่ของเงินที่ดิฉันนำเช็คไปเป็นประกัน ปรากฎว่าจบเสร็จสิ้นดิฉันได้นำเงินมาไถ่เช็คเรียบร้อยไม่มีปัญหาใดๆ ก็อยู่กินกับนาย ก. ตามปกติมาเรื่อยๆ คดีที่ 2 ก็มาถึงคือคดีลักทรัพย์ (รถยนต์) เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่นาย ก.หย่าขาดกับภรรยาเก่าแล้วได้ประมาณ 4 เดือน นาย ก.ไปเยี่ยมลูกของเค้าที่บ้านภรรยาเก่าแล้วจอดรถไว้หน้าบ้าน กุญแจรถวางไว้หลังตู้เย็น (ปากทางเข้าบ้าน) ภรรยาเก่าของเค้าก็ได้หยิบกุญแจสตารดท์รถขับออกไป (เอารถยนต์ไปจากบ้านประมาณ 14 วัน) นาย ก.เห็นท่าไม่ดีก็ปรึกษากับญาติของภรรยาเก่าๆ ว่าจะทำอย่างไรดี ก็ตกลงกันว่าให้นาย ก. ไปแจ้งความรถหายที่สถานีตำรวจ นาย ก. ก็ได้แจ้งความตามที่ปรากฎจริงโดยมีญาติฝ่ายภรรยาเก่าไปเป็นพยานด้วย ตำรวจก็ดำเนินคดีไปตามปกติส่งพนักงานอัยการ ภรรยาเก่าก็โดนสอบปากคำและประกันตัวตามขั้นตอน (วึ่งดิฉันไม่ได้รู้เห็นด้วยแต่อย่างใด เพราะไม่รู้จักกับภรรยาเก่าของเค้าเลย ไม่เคยเห็นหน้า) ตอนที่สามีไปขึ้นศาล (สืบคดี) ดิฉันก็ไม่ได้ไปด้วย (ติดทำงาน) ทุกนัดของศาล สรุปพอศาลตัดสินคดีปรากกฏว่า ศาลบอกว่าจำเลย (ภรรยาเก่า) ไม่มีความผิด เหตุเพราะรถที่ขับไปนั้นเป็นทรัพย์ที่เคยใช้ด้วยกัน จึงสามารถใช้ร่วมกันได้ ฝ่ายสามีก็พอศาลตัดสินอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้อุทรณ์อะไรอีก ดิฉันก็ไม่มความรู้เรื่องคดีเลยก็เฉยๆ คิดว่าจบกันแล้ว ปรากฏว่าภรรยาเก่าของสามีไม่จบฟ้องกลับสามีมาอีกในคดีแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ในระหว่างที่ภรรยาเก่ายื่นฟ้องสามีในคดีแจ้งความเท็จฯ นี้ ภรรยาเก่าพร้อมสามีใหม่ของเค้าก็มาเขียนโน๊ตในกระดาษไว้หน้าบ้านของดิฉัน (ดิฉันซื้อบ้านไว้ก่อนที่จะแต่งงานกับสามีค่ะ) ว่าในสามีดิฉันเลือกเอาว่า 1. จะให้เงินเค้า 1แสนบาท หรือ 2.จะเท็จต่ออัยการ หรือ 3.จะเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ (3.ข้อนี้ดิฉันว่ามาจากสาเหตุที่ศาลพิพากษาในคดีลักทรัพย์ว่าเค้าไม่มีความผิดแน่เลย พอไม่มีความผิดก็มาฟ้องงคนอื่นว่าผิด) สรุปทั้ง 3 ข้อ สามีไม่เอาสักข้อ ก็ต่อสู้คดีเรื่อยมา...จนกระทั่งในระหว่างต่อสู้คดีเก่าอยู่นั้นภรรยาเก่าของเค้าก็ฟ้องสามีมาอีก 1 คดี คือขอแบ่งสินสมรสและสินส่วนตัวพร้อมเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร สามีก็สู้คดีอีกสืบไปสืบมานำทรัพย์นำหนั้มาหักล้างกัน ปรากฏฎว่าศาลพิพากษาเรื่องสินสมรสและสินส่วนตัวนั้นให้ทั้งสองนำทรัพย์ที่เป็นสินสมรสมาประมูลขายระหว่างกันได้เงินมาเท่าไหร่ให้นำมาชำระหนี้สมรสเหลือเท่าไหร่หาร 2 กัน (ลองตั้งตัวเลขแล้วปรากฏว่าหนี้มากกว่าทรัพย์) ส่วนสินส่วนตัวมีเพียงของสามีคือที่ดินที่ บิดายกให้โดยเสน่หา ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรศาลก็กำหนดไปตามอัตราที่ศาลตัดสิน คดีเป็นจบค่ะ ระหว่างนั้นดิฉันเห็นทีท่าไม่ดีแล้ว หนี้ที่ดิฉันให้สามียืมไปอาจจะไม่ได้คืนประกอบกับปรึกษาบิดาของสามีว่าเราต้องเงินที่ให้ยืมไปกลับมาแล้ว (เห็นภรรยาเก่าฟ้องสามีมาหลายๆ เรื่อง) ดิฉันก็เลยฟ้องสามี (ตามสัญญาเงินกู้ที่สามีเขียนไว้ให้ตอนที่ยืมเงินดิฉันไป 300,000.-บาท ไปไถ่ที่ดิน ซึ่งเป็นหนี้ของทั้งสอง) ศาลตัดสินให้ดิฉันบังคับรับชำระหนี้จากสามีได้ และบิดาของสามีก็ฟ้องสามีเรียกเงินที่ให้ยืมไปตอนที่ทั้งสอง (สามีกับภรรยาเก่า) ยืมไปซื้อที่ดินแปลงที่ 2 ด้วยกัน ต่อมาดิฉันจึงยึดที่ดินแปลงที่ (2) ที่เป็นสินสมรสระหว่างสามีกับภรรยาเก่าเสีย (แต่ยังไม่ได้ขายทอดตลาดเพราะมีคดีอื่นๆ เค้ามาต่อรองเสียก่อน ดฺฉันจึงถอนการบังคับคดี) ต่อมาระหว่างที่ดิฉันยึดที่ดินฯ ของสามีเพื่ออกขายทอดตลาดนั้น ฝ่ายภรรยาเก่าของสามีทราบเรื่องดังกล่าวว่าดิฉันฟ้องสามีฯ ของตนเองเพื่อเอาหนี้คืน เค้า(ภรรยาเก่าของสามี) ก็ฟ้องดิฉันกับสามีและบิดามาอีก 1 คดี (จำเลย 3 คน) ข้อหาโกงเจ้าหนี้ (เหตุเพราะศาลเยาวชนพิพากษาว่าให้แบ่งทรัพย์ฝ่ายละครึ่งแบ่งหนี้ฝ่ายละครึ่ง ภรรยาเก่าเค้าคงคิดว่าหนี้ของเค้าน้อยกว่าทรัพย์กระมัง) ดิฉันกับสามีก็ถูกดำเนินคดีขึ้นศาล ก็ประกันตัวโดยนำโฉนดที่ดินมูลค่า แสนสองมาประกันและเตรียมจะสืบพยานแต่ละฝ่าย ในระหว่างนั้นสามีมีนัดไปฟังคำพิพากษาของศาลในคดีแจ้งความเท็จ (ที่ศาลพิพากษาว่าในคดีลักทรัพย์ภรรยา (จำเลย) ไม่มีความผิดฯ ก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาศาลได้พูดว่าเรื่องต่างๆ ที่ฟ้องกันไปฟ้องกันมาเป็นที่น่าจะตกลงกันได้คือเรื่องเงินอย่างเดียวเป็นเรื่องในครอบครัวลองไปคุยกันก่อนดีมั๊ย ศาลให้เวลา 1 ชั่วโมง (ดิฉันว่าศาลฯ ท่านคงอ่านสำนวนที่มาที่ไปของทั้งสองแล้วกระมังว่าไร้สาระ) โดยทั้งสองฝ่ายก็ลองคุยกันแต่สรุปกันไม่ได้ฝ่ายภรรยาเก่าก็ยืนยันว่าศาลพิพากษาว่าตนเองไม่ผิด จะขอเงิน 250,000.-บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ผ่านมามาตั้งแต่ตอนฟ้องจนถึงวันที่ศาลตัดสิน ฝ่ายสามีบอกว่าไม่มีให้แถมยังมีคดีที่ถูกภรรยาเก่าฟ้องอีกตั้งหลายคดีซึ่งตัวเองก็ไม่ผิดตามที่ฟ้องแถมยังมีหนี้สินที่ตอนอยู่ด้วยกันที่ตนเองต้องแบกภาระชำระอยู่เป็น 300,000.-บาท ผมม่มีอะไรจะให้อีก ศาลก็เลยตัดสินให้ดังนี้ค่ะ ให้ฝ่ายสามีชำระเงินให้ภรรยาเก่า 250,000.-บาท ให้ฝ่ายภรรยาเก่าถอนคดีทุกๆ คดีที่ฟ้องอยู่ หรือกำลังฟ้อง หรือจะฟ้อง ห้ามมิให้ฟ้องร้องกันอีกต่อไป และห้ามิให้ภรรยาเก่าของเค้ามายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินใดเป็นอันขาด ปรากฎตามศาล ศาลก็ทำบันทึกตามยอม เรื่องอันเป็น จบ ในคดีโกงเจ้าหนี้ที่ดิฉันเป็นจำเลยที่ 2 สามีเป็นจำเลยที่ 1 บิดาของสามีเป็นจำเลยที่ 3 ก็เลยได้อนิสงค์ไปด้วย ไม่ต้องมีการสืบพยานและประกันตัวอีกต่อไป คดีถูกจำหน่ายแล้ว เป็นอันจบหมดทุกคดี ดิฉันจึงไปถอนบังคับคดีที่ดินแปลงสินสมรสของสามีกับภรรยาเก่าออกจากการบังคับคดีเสียแล้วคืนโฉนดให้แก่สามีตามเดิม ก็ใช้ชีวิตอยู่กินกันตามปกติอีกรอบหนึ่ง ในเวลาไม่นานสามีได้ขายที่แปลงที่เป็นสินสมรส พร้อมบ้าน และรถยนต์ (ที่เคยพิพาท) ไปแล้วนำเงินไปชำระหนี้สินต่างๆ ที่สามีและภรรยาเก่าได้ก่อกันเอาไว้เพราะอยู่ใกล้ๆกันละแวกเดียวกัน เจ้าหนี้เค้ารู้ว่าสามีขายที่ดินได้เงินก็ตามมาเอาหนี้คืนกันหลายราย สามีก็คืนให้ตามส่วนเพราะต้องหักหนี้จำนองเป็นอำดับแรกก่อนแล้วเหลือเท่าไหร่ก็แบ่งจ่านกันไป แต่หนี้ของดิฉัน 3 แสนดิฉันยังไม่ได้สักบาท ดิฉันก็เฉยๆพราะเห็นว่ายังมีอยู่ด้วยกันแถมมีลูกอีก และยังมีที่ดินที่บิดายกให้สามีอีก คิดว่าไม่เป็นไร อีกสักพักค่อยให้สามีโอนที่ดินให้ลูกก็พอแล้ว (แปลงที่บิดายกให้) และบวกกับดิฉันได้ขายบ้านของดิฉันไปมาสร้างบ้านใหม่ลงบนที่ดินให้กับลูกๆ ด้วย (บ้านที่ดิฉันขายไปนั้นดิฉันซื้อก่อนที่จะมาแต่งงานกับสามีเกือน 1 ปีกว่าๆ) ดิฉันจึงไม่ได้ร้องบังคับคดีอีกต่อไป อยากอยู่อย่างสงบสุขบ้าง ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามนั้น ตอนนี้ฝ่ายภรรยาเก่าร้องบังคับคดียึดที่ดินแปลง (ที่บิดายกให้) ออกขายทอดตลาดฐานผิดชำระหนี้ตามสัญญายอม ดิฉันจึงร้องกันส่วนไปขอที่ดินครึ่งหนึ่ง (ตามสัญญาเงินกู้ที่สามีระบุให้ว่า ถ้าไม่สามารถนำเงินที่กู้ยืมไปมาชำระหนี้ดิฉันได้จะให้ที่ดินแก่ดิฉันครึ่งหนึ่งแทนการชำระหนี้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ) พร้อมบ้านของดิฉันที่ดิฉันสร้างเองทุกบาท (ขายบ้านหลังเก่ามาสร้างบ้านใหม่) ตอนนี้คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ค่ะ หนูขอโทษด้วยค่ะที่เล่าเสียยาว 1 เพราะเครียด ไม่รู้ยังแก้ปัญหาอย่างไร 2.อยากเล่าของจริงทั้งหมด เพื่อท่านฯ มีชัยจะได้ชี้แนะให้ถูกต้องครบถ้วนว่าทำอย่างไรอีก ดิฉันมีคำถามว่า .1.ดิฉันขอกันส่วนที่ดินพร้อมบ้านไป ดิฉันจะมีสิทธิได้มั๊ยค่ะ (ตามเนื้อเรื่องข้างต้นป .2.ตอนนี้ดิฉันหย่ากับสามีได้ 1 ปีกว่าและแยกกันอยู่ ด้วยเหตุที่ว่าทัศนะคติไม่ตรงกัน รำคาญสามีเป็นคนอะไรก็ได้ (หนาวก็เฉยร้อนก็เฉย) มีปัญหาอยู่เรื่อย ดิฉันเองเหนื่อยจะตายอยู่แล้วตั้งแต่แต่งงานกัน ลูกๆ ก็ดิฉันดูแล ตอนนี้ดิฉันเอาลูกมาเลี้ยงเอง ดูแลส่งเสียเอง หากสามีเลี้ยงลูกมีหวังเด็กหมดอนาคตแน่ เพราะเดี๋ยวเรื่องโน้นมาเรื่องนี้มา (ไม่หยุดไม่หย่อนฝ่ายภรรยาเก่าของสามี) ไม่รู้ว่าต้องการอะไรนักหนา ภรรยาเก่าของสามีเองก็มีสามีใหม่ไปแล้ว ดิฉันเลยขอหย่าเพื่ออะไรๆ หลายๆ อย่างค่ะ ตามท้ายสัญญาหย่าของดิฉันกับสามีระบุว่า สามีเป็นฝ่ายส่งเสียเงินให้แก่ลูก ฝ่ายดิฉันเป็นฝ่ายดูแลอนามัยแก่ลูกและปกครองลูกค่ะ และสามีจะให้เงินดิฉันจำนวน 2 แสนบาทเป็นทดแทนการดูแลบุตรค่ะ ดิฉันถามว่าหากดิฉันจะฟ้องสามีอีก ดิฉันมีสิทธิ์จะได้เงินต่างๆ นั้นมั๊ยค่ะ และถ้าได้สามีไม่มีให้สามีก็จะปรากฏหนี้ในตัวเองดังคำฟ้องทั้งสิ้นรวมแล้วประมาณ 1 ล้านกว่าบาทค่ะ สามีจะตกเป็นบุคคลล้มละลายมั๊ยค่ะ และถ้าจะฟ้องใครให้เป็นบุคคลล้มละลายจะต้องฟ้องและเตรียมอะไรบ้างค่ะ และถ้าตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว 3 ปี กลับมาสู่สภาวะปกติแล้ว หนี้ที่เป็นอยู่ก็หมดกันเลยใช่มั๊ยค่ะ มาเริ่มหนี้บาทแรกใหม่มใช่มั๊ย ขอบคุณมากค่ะที่อ่านและช่วยชี้แนะค่ะ....จาก..คุณดวงดี...
|  |