เรื่องการเบิกเบี้ยเลี้ยงการเดินทางไปราชการ
กราบเรียนอาจารย์มีชัยที่เคารพนับถืออย่างสูง
สวัสดีครับอาจารย์มีชัย ผมยังระลึกถึงเสมอครับ ผมเฝ้าติดตามการทำงานของสภาฯและฝ่ายต่างๆเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยความชื่นชมยินดี แม้อาจมีติดๆขัดๆในหลายเรืองแต่ก็เพื่อจะใด้รัฐธรรมนูญที่ดี ทุกคนหวังใว้อย่างนั้น (ดูเหมือนทุกท่านทำงานอย่างเสียสละเอาจริงเอาจังอย่างที่สุดแม้บางทีหลงทางสุดขั้วบ้างแต่เจตนาดีเพื่อไปถึงเป้าหมายที่วางใว้)
ผมมีเรื่องเรียนปรึกษาอาจารย์ว่าด้วยเรื่องการเบิกเบี้ยเลี้ยงการเดินทางของ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพ ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดังนี้ครับ
เนื่องจาก 4 กลุ่มวิชาชีพดังกล่าวจะมีเงินเพิ่มพิเศษคือขึ้นกับตามพื้นที่เสี่ยงภัยและทุรกันดารแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับ 1 แพทย์ ทันตแพทย์ ใด้รับ 10000 บาทต่อเดือน เภสัชกรได้รับ 5000 บาทต่อเดือน และพยาบาลได้รับ 1000 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นพื้นที่ระดับ 2 (เสี่ยงภัยมากหรือกันดารมาก)จะใด้รับ 2 เท่าของระดับ1 นอกจากนั้นยังมีเงินเพิ่มอีกเพื่อสร้างแรงจูงใจไห้ปฏิบัติในพื้นที่ 3 จังหวัดเพิ่มอีกโดย แพทย์ ทันตแพทย์ 10000 บาทต่อเดือน เภสัชกร 5000 บาทต่อเดือน พยาบาลวิชาชีพ 1000 บาทต่อเดือน ทั้งหมดมีเงื่อนไขว่าจะต้องปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 15 วันทำการในแต่ละเดือนจีงมีสิทธิสามารถเบิกรับเงินดังกล่าวนั้นได้ และ เงินได้รับทั้งหมดถือเป็นเงินได้ก็นำไปคำนวนเสียภาษีกันทุกคนตลอดที่ผ่านมา เรื่องมีอยู่ว่าในการเดินทางไปราชการ (ประชุม อบรม เป็นวิทยากร ๆลๆ) ที่ผ่านมาตลอด 5 ปีกล่มวิชาชีพดังกล่าวเมื่อเบิกเงินไปราชการก็จะเบิกเบี้ยเลี้ยงการเดินทางไปราชการตามระเบียบราชการ(ผมในฐานะ ผอก.รพ ก็อนุมัติมาตลอด) เมือผมเองต้องเบิกเงินการเดินทางไปราชการก็ต้องส่งไปจังหวัด(นายแพทย์ สสจ.)เป็นผู้อนุมัติ (ประชุม 2 วันเบี้ยเลี้ยงวันละ 180 บาทเป็นเงิน 360 บาท+ค่าทีพักค่าเดินทางรวมก็ 1360 บาท) บังเอิญว่านายแพทย์ สสจ.เพิ่งย้ายมาจากจังหวัดอื่นไม่อนุมัติเนี่องจากให้เหตุผลว่าใด้รับเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเป็นการประจำอยู่แล้วและที่จังหวัดเดิมที่ท่านอยู่ก็ไม่เบิกกัน จริงแล้วๆเรื่องนี้เมื่อปี2545 ทางจังหวัดได้มีการหารือทางกระทรวงแล้วทางปลัดกระทรวงแจ้งว่าสามารถเบิกได้เพราะเป็นเงินคนละประเภก แต่ทาง สสจ.ซึ่งมี นืติกรประจำ สสจ.ก็อ้างว่าที่เบิกมาไม่ถูกต้องเนื่องจากไห้ยึดตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าเมื่อได้รับเงินเพิ่มแล้วก็ไม่สามารถเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางได้อีก จึงได้นำประชุมคณะกรรมการบริหารจังหวัด ก็มีการถกเถียงตีความกันจึงยังไม่มีข้อยุติแต่มี มติไห้เบิกอนุมัติเหมือนเดิมไปก่อนแล้วจะหารือกระทรวงอีกครั้ง ผมเองไม่ค่อยถนัดในเรืองการตีความทางกฎหมาย ความเห็นส่วนตัวน่าจะเบิกใด้เพราะเป็นเงินคนละหมวด เงินเบี้ยเลี้ยงไม่เคยมีใครนำมาคำนวนภาษีกัน และอีกกรณีคือการที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไป ประชุมอบรมโดยแจ้งรายชื่อถ้าไปประชุมหลายวันก็จะทำงานไม่ครบ 15 วันทำการก็จะไม่มีสิทธิเบิกเงินเสี่ยงภัย(แพทย์ ทันตแพทย์ ตกเดือนละ 30000 บาท)ก็ไม่มีใครไป เมือไม่ไปก็ขัดคำสั่งผิดวินัยราชการอีก เดิมทียังอลุ่มอล่วยภ้าถูกสั่งไปให้นับเป็นวันทำการ การยึดหลักกฎหมายเคร่งครัดก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ความเดือดร้อนหลักเรืองนี้ตกในกลุ่มพยาบาลวิชาชีพเพราะรายได้น้อย กลุ่มแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรไม่เดือดร้อนมากเพราะรายได้มากอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าที่เบิกมาก่อนหน้านี้หลายปีถูกเรียกคืนเพราะผิดระเบียบ ทีเขียนมายาวเยียดนี้ อยากไห้อาจารย์มีชัย ช่วยออกความเห็นว่าจริงๆแล้วทีถูกต้องเป็นอย่างไร ถ้ามันผิดจริงก็คงกระทบอีก 2 จังหวัดคงเดือดไปทั่ว 3 จังหวัดโดยเฉพาะพยาบาลวิชาชีพ และอีกกรณีที่ถูกสังไห้ไปประชุมแล้ววันทำงานไม่ครบ 15 วันทำการจะทำอย่างไร
จึงเรียนมาปรึกษาหาทางออกที่ดีที่สุดและให้ถูกต้องตามระเบียบราชการเพื่อความสบายใจในปฏิบัติราชการในพื้นที่ๆสุดอันตรายไม่ปลอดภัยและต้องการขวัญกำลังใจอย่างมาก.....
สุดท้ายนี้ขอให้คุณงามความดีทั้งหลายที่อาจารย์สร้างมาจงทำให้อาจารย์มีสุขภาพดี แข็งแรง มีความสุขในการทำงานตลอดไปครับ
ด้วยความเคารพนับถืออย่างสูง
หมอใต้ผู้ร่วมชะตากรรม |