ดิฉันถูกอดีตสามีชาวต่างชาติแจ้งความเท็จที่ประเทศไทยโดยฟ้องหย่าและหาว่าดิฉันเคยสมรสมาก่อนแล้ว และ กล่าวหาว่าดิฉันเป็นโรคติดต่อ(โรคตับอักเสบ) และหาว่าดิฉันโอนทรัพย์สินของดิฉันที่อยู่ในประเทศไ ทยใช้หนี้ให้คนอื่นซึ่งเขาถือว่าทรัพย์สินที่ดิฉันมีในประเทศไทยเป็นสินสมรส และตั้งทนายคนไทยฟ้องหย่า แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่าดิฉันฟ้องหย่ากับเขาได้เมื่อ 27 มิ.ย 2548 (ตามใบหย่าที่ทางศาลออสเตเรียออกให้) ดิฉันเป็นโรคตับอักเสบประเภทซีซึ่งมารู้ว่าเป็นเมื่อดิฉันมาอยู่ที่ออสเตเรียและตั้งท้องลูกได้ประมาณเดือนกว่าแต่หมอที่นี้บอกว่าไม่ร้ายแรงและไม่มีผลกระทบต่อลูกในท้องที่สำคัญดิฉันไม่มีประวัติการรักษาโรคนี้หรือโรคอื่นทั้งในคลีนิคและโรงพยาบาล ไม่มีการโอนทรัพย์สิน ที่สำคัญทุกข้อกล่าวหามีการพืสูจน์และหักล้างได้หมด( ซึ่งได้พิสูจน์ในระหว่างที่ดำเนินการตามศาลที่ออสเตเรีย )
ดิฉันได้เคยเรียนถามท่านมาก่อนหน้านี้แล้วและท่านบอกว่าให้ตั้งทนายสู้คดีโดยยกเอกสารเหล่านั้นมาสู่คดีเพื่อให้ศาลจำหน่ายคดีออก ดิฉันได้ทำตามแต่นัดครั้งแรกดิฉันได้ให้ทนายเลือนนัดคำให้การ(นัดแรก 25 มิ.ย 2550) เพราะความที่ญาติส่งเอกสารมาให้ช้าด้วยคิดว่าไม่สำคัญประกอบกับดิฉันอยู่ที่ออสเตเรียการติดต่อกับทนายคนไทยเลยล่าช้า และทนายเรียกค่าใช้จ่ายเบื้องต้น 5,000 บาทซึ่งดิฉันจะโอนให้ทนายในวันที่ 25 มิ.ย นี้ ดิฉันอยากเรียนถามท่านว่าคดีจะจบสิ้นในนัดต่อไปของศาลได้หรือไม่ เพราะรูปคดีมีการพิสูจน์และพยานเอกสารพร้อมอยู่แล้วที่จะหักล้าง และค่าใช้จ่ายต่อไปจะสูงหรือไม่
ดิฉันรู้ว่าอาจเป็นการที่เสียมารยาทที่จะถามอย่างนี้แต่ดิฉันไม่มีรายได้มากพอที่จะยืดเยื้อ ทั้งต้องรับภาระเค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายตัวเองและลูกรวมไปถึงค่าผ่อนรถที่ต้องใช้ขับไปทำงานและกระทั้งค่า Child Support ที่อตีดสามียื่นเรื่องให้ขอจากดิฉัน (เขาหักจากค่าแรงของดิฉันโดยตรงก่อนที่ดิฉันจะได้รับค่าแรง) ถึงแม้เราได้สิทธิ์ดูแลลูกคนละครึ่งแต่ความเป็นจริงแล้วค่าใช้จ่ายของลูกส่วนมากดิฉันเป็นคนจ่ายมากกว่าทั้งเสื้อผ้า อาหาร หรือของเล่นตามวัยดิฉันพยามยามดูแลทุกอย่าง เท่าที่ดิฉันจะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด
สุดท้ายอยากเตือนผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติศึกษาเขาและคิดให้ดีก่อนน่ะค่ะถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำงานด้านศาสนาหรือประชาสงเคราะห์ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี
นับถือ
คดีอาจไม่จบสิ้นในนัดหรือสองนัด เพราะมีกระบวนการของศาลอยู่ไม่น้อย ซึ่งทนายความเขาคงอธิบายให้ได้